วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

หยิกแกมหยอกคนวิจารณ์ เรื่องสปอต ‘กรุงเทพ เมืองหนังสือโลก 2556‘ (ขำๆ)


หยิกแกมหยอกคนวิจารณ์ เรื่องสปอต ‘กรุงเทพ เมืองหนังสือโลก 2556‘ (ขำๆ)
Story : The Readers Online Cafe' 
 

วันนี้นึกสนุกอยากติดตามการวิจารณ์ เรื่อง กรุงเทพ เมืองหนังสือโลก 2556 ว่ากระแสไปถึงไหนแล้ว
ก็เห็นว่ายังมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่เนืองๆ ที่โดนหนักเห็นจะเป็น สปอต ‘กรุงเทพ เมืองหนังสือโลก 2556 ที่โดนวิจารณ์ยับว่า "มุ่งสร้างภาพมากกว่าส่งเสริมการอ่านที่แท้จริง" พอได้อ่านคำวิจารณ์แล้วก็มีที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยครับ

ทั้งนี้ มิได้ทำเห็นใจฟากโน้น แล้วกลับมาเห็นดีฟากนี้ แต่เท่าที่ได้ดูสปอตดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด  กล่าวคือ มีทัศนะที่เป็นกลางๆ จะให้มองว่าเป็นโฆษณาขำๆ อารมณ์ดี ก็ไม่น่าจะผิด ภาพจากโฆษณา เด็กผู้หญิงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ทันใดเธอกลายเป็นคนที่ดูดีขึ้นมาผู้สร้างเขาเจตนาต้องการสื่อสารว่า "คุณลักษณะนิสัยรักการอ่านเป็นวิสัยที่ทำให้อะไรๆ ในชีวิตดีขึ้นใช่หรือไม่?" เพียงแต่ว่า การหยิบฉวยหนังสือเหมือนขึ้นมาอ่านผ่านๆ จะด้วยข้อจำกัดของเวลา จะด้วยเจตนาดีสร้างอารมณ์ขัน หรือจะคิดได้แค่นี้ก็ตามแต่ มันผิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงไป คิดว่าแง่นี้ล่ะครับที่สร้างความระคายเคืองแก่นักคิด นักเขียน พี่ๆ เขา

หรือหากจะมองว่า เอาอะไรคิด? ก็ได้อยู่ ทั้งที่การสื่อสารที่เป็นลักษณะของการรณรงค์ ควรจะมีแนวโน้มให้ค่านิยมไปทางให้คนที่รับชมเห็นดีเห็นงามเห็นคุณค่าลึกซึ้งของการกระทำนั้นๆ ใช่หรือไม่? มิใช่เอาปูนมาฉาบหน้า หรือให้คุณค่าแค่เอาผักชีโรยหน้าเช่นนี้




แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะเขียนวันนี้ครับทั่น เห็นพี่ๆ นักคิด นักเขียน เขาเครียดกันไปหน่อย ก็นึกสนุกด้วยใจหยิกแกมหยอก เอาประเด็นที่พี่ๆ เขาวิพากษ์วิจารณ์มาต่อปากยอกย้อนเล่นกันขำๆ คือ ไอ้คนที่รักการอ่านอย่างเรามันทนไม่ได้ ที่จะให้ใครมาทำให้เรื่องการอ่านเป็นเรื่องที่เครียดไปครับท่าน

นักวิจารณ์ 2 ท่าน ที่ขออนุญาตยกมาหยิกหยอกวันนี้ ท่านแรกคือ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"และท่านที่สอง คือ คุณปราบดา หยุ่น ทั้งสองท่านได้วิพากษ์สปอต ‘กรุงเทพ เมืองหนังสือโลก 2556 กันไปอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว และเพื่อไม่ให้พวกพี่ๆ เขาเหงาวิจารณ์อยู่ฝ่ายเดียว เราก็เลยอาสาต่อปากต่อคำให้ครับท่าน

ท่านแรก "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" บทความวิจารณ์จากหน้าแฟนเพจ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"




สปอต ‘กรุงเทพ เมืองหนังสือโลก 2556‘ ที่ถูกวิจารณ์กันขรมในตอนนี้ ทำให้คิดว่า สปอตที่มาพร้อมมุกตลกกับการด่วนสรุปเกี่ยวกับการอ่านหนังสือ สะท้อนมุมที่รัฐหรือผู้ใหญ่หลายคนมองเห็น การอ่าน ของประชาชน รวมถึง ทำให้คิดถึง รูปแบบการอ่านของเราในทุกวันนี้ได้ว่า

(The Readers Online Cafe' : อ่ะ ว่ามาเลยครับเพ่ แต่อย่าเยอะ)

1. เรานิยมอ่านอะไรสั้นๆ : ความเห็นที่มักจะพบมากขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตเวลามีบทความใดๆ หรือ การวิพากษ์วิจารณ์ คือ‘ยาวอะ ขี้เกียจอ่าน’ เวลาถกกันด้วยข้อมูลหรือเหตุผลไม่ว่าจะเรื่องการเมือง หรือ บันเทิง เราจะพบการเข้ามาตอบโดยไม่อ่านที่คนอื่นเขียน แล้วตอบประมาณว่า ‘ไม่รู้อะ เรารู้แค่ว่า ...”
 
(The Readers Online Cafe' : ก็แอบอ่านในที่ทำงานมันลำบากนี่ครับพี่ เอาสั้นๆ ถึงแก่นเลย อย่าเยอะ!!)

ความนิยมของ ทวิตเตอร์ ที่ข่าวสาร , ข้อคิด , ปรัชญา , ธรรมะ ฯลฯ ถูกย่นย่อให้รับเข้าสมองแบบสั้นๆ ทำให้สมองเกิดความพอใจคิดว่า สารที่ได้รับเพียงพอแล้ว

 (The Readers Online Cafe': คนสร้าง twitter ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเด็กรถสองแถวบ้านเรานี่แหละเพ่!)

การเสพอะไรสั้นๆเป็นประจำ ก่อเกิดความ รู้เยอะ แต่ รู้ไม่ลึก และ ไม่คิดจะต่อยอด เพราะ สมองเคยชินกับการรับแค่ข้อมูลครั้งละสั้นๆ กับต้องพร้อมในการรู้เรื่องอื่นๆ ต่อไปให้เยอะๆ
(The Readers Online Cafe' : โหเพ่ แต่ละคน อัพ เต'ตัส กันเร็วโคตรอ่ะเพ่ อ่านผ่านๆ ดีแล้วเดี๋ยวไม่ทันครับพี่!)

ก็คงเหมือนอาหาร Fast food ที่ไม่ได้อันตรายหรือเลวร้าย แต่การกินบ่อยๆ ก็อาจทำให้เข้าใจว่า มันคือ อาหารที่เปี่ยมคุณภาพและได้สารอาหารครบสมบูรณ์
 
(The Readers Online Cafe': ค่านิยมครับเพ่ คิดไรมากครับ!)

การอ่านหนังสือ ก็คงคล้ายกัน ดังจะเห็นว่า หนังสือขายดีส่วนใหญ่ มักเป็นหนังสือที่ไม่ได้เขียนอะไรยาวๆ แต่เป็น คำคม , ความเรียง ฯลฯ ที่นิยมถูกแบ่งให้สั้นๆจบเป็นตอนๆ
 
(The Readers Online Cafe' : โอ๊ย เป๊ะเลยพี่ อัพคำคมแล้วดูดี เป๊ะเว่อร์)

2. เรานิยมอ่านไม่กี่อย่างตามกระแส : หนังสือติดอันดับขายดีของร้านหนังสือหลายร้าน มีบางเล่มที่ดูแล้วอาจเผลอคิดในใจ “นั่นคือ หนังสือ ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมซื้ออ่านกันจริงๆหรือ”
 
(The Readers Online Cafe' : หนังสือแฉอ่ะเหรอเพ่ ชอบเลย ยุ่งเรื่องชาวบ้านเนี่ย มีไร' อ่ะ?)

นอกจากนี้ หากดูหมวดของหนังสือยอดนิยม พบว่าแบ่งหมวดสำคัญได้สามหมวดที่ฮอตฮิต คือ หมวด’กรรม’ ที่มีทั้ง สกัด สะกด สกรีน สแกน สแครช กรรม , 
(The Readers Online Cafe' : แม่ผมสะสมเป็นคอลเลกชั่น นี่เห็นรอเล่มใหม่อยู่เลยพ่ ตอน สกรัม กรรม)

หมวด ‘ฟีลกู๊ด’ ที่สนับสนุนการมองโลกในแง่ดี ความรัก ทัศนคติแง่บวก
 
(The Readers Online Cafe' : พี่ ไม่' จัย วัยรุ่นหรอก เรามันพวกอ่อนไหว)

และหมวด บันได หนทาง ตัวอย่างก้าวสู่ ‘ความสำเร็จ’ 
(The Readers Online Cafe' : บอกแล้วชอบ' ไรเร็วๆ )

ปัญหาของการอ่าน ไม่ใช่หนังสือเหล่านั้น เพราะโลกเราไม่ได้ดำรงอยู่ด้วยอย่างใดอย่างหนึ่ง หนังสือกรรม หนังสือมองโลกสวย หนังสือสู่ความสำเร็จ ไม่ได้ทำให้โลกแย่ลง แต่ละเล่มก็มีข้อดีของมัน แต่สังคมที่เสพอะไรเพียงด้านเดียวมากๆ มันสะท้อนว่า สังคมนั้นสนใจอะไร และ สังคมนั้นกำลังมีปัญหาเรื่องอะไร

 (The Readers Online Cafe' : ก็บอกแล้วเป็นวันรุ่นไทยมันเหนื่อย)

กระแสอ่านเพียงแนวใดแนวหนึ่งมากๆ ทำให้ การอ่านแทนที่จะช่วยให้มองเห็นโลกกว้างกลับบีบโลกให้แคบลง เพราะความเชื่อที่มีต่อวิธีคิดระนาบเดียว
(The Readers Online Cafe' : ก็ไม่ชอบ'ไรซับซ้อน จบป่ะ?!)

หนังสือธรรมะก็ดี นิยายก็ดี แต่สังคมไม่สามารถก้าวหน้าได้ด้วยธรรมะเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถพัฒนาได้ด้วยนิยายเพียงอย่างเดียว แต่ในสังคมไทย การสนับสนุนและเสียงเชียร์ของผู้ใหญ่มักจะเป็นไปในกระแสเดียว ราวกับว่า หนังสือประเภทใดประเภทหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
(The Readers Online Cafe' : ก็ผู้ใหญ่เขาไม่ว่าง ยุ่งกับการบริหารจัดการน้ำอยู่นี่เพ่)

รวมถึงการดูแคลนหนังสือบางประเภท เช่น มองว่าการอ่านการ์ตูน เป็นเรื่องสำหรับเด็กเท่านั้น หรือเป็นเรื่องไร้สาระ ทั้งที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
(The Readers Online Cafe' : โดยเฉพาะการ์ตูนเมดใช่อ่ะพี่ คิกคิก)

และเมื่อเทียบกับ best seller ที่เห็นจากเมืองนอกก็ชวนให้อิจฉา เมื่อเขามีหนังสือขายดีให้อ่านหลากหลายกว่า ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐศาสตร์ , การเกษตร , เทคโนโลยี , ปรัชญา , จิตวิทยา ฯลฯ และไม่ได้มาในรูปแบบหนังสือวิชาการจัดๆ
(The Readers Online Cafe' : พูดงี้น้อยใจครับพี่ บอกตรงๆ น้อยใจ)

3. เรามักจะ ‘อ่าน’อะไรฉาบฉวย ไม่ใช่แค่ หนังสือ แต่รวมถึง คนและสังคม : จากสปอตเราจะเห็นว่า คนฉลาด หรือ ดูดี เปลี่ยนในทันที ที่หยิบหนังสือภาษาอังกฤษหรือหนังสือปกที่เขียนว่า ‘อัจฉริยะ’ ซึ่งมันแทบไม่ต่างจาก การด่วนตัดสิน คนเข้าวัดแล้วพูดเพราะ ว่าเป็นคนดี หรือ ด่วนตัดสิน คนโผงผางพูดขวานผ่าซาก ว่า จริงใจ , แถมสปอตยังสะท้อนทัศนคติผู้ใหญ่ที่ยังคิดว่า อ่านหนังสือที่สนับสนุนการเป็นอัจฉริยะ จะทำให้คนอ่านฉลาดขึ้น
(The Readers Online Cafe' : ผมก็อยากให้หนังสือมีส่วนประกอบของโอเมก้า 3 นะ)

การดูดี หรือ ความฉลาด ไม่ใช่แค่ การหยิบมาอ่าน แต่ขึ้นกับว่า อ่านอะไร แต่ในขณะเดียวกัน การอ่าน ก็ไม่ได้ใช้เพื่อสรุปแทน ความดูดี หรือ ความเป็นคนฉลาด แต่ การอ่านเป็นการเปิดโลกทัศน์เราให้กว้าง ให้ลึก ฝึกให้คิด ฝึกให้เข้าใจ ซึ่งนั่นเป็นการพัฒนา ทรัพยากรพื้นฐานในสังคมอันได้แก่ มนุษย์ ซึ่งหากพัฒนามากขึ้น ก็จะยิ่งช่วยพัฒนาสังคมให้รุดหน้ามากขึ้น
 
(The Readers Online Cafe' โทษผมไม่ได้ครับ ใครๆ เขาก็มองกันที่ภายนอกก่อนทั้งนั้นแหละพี่)

การอ่านหนังสือ การเมือง , ศิลปวัฒนธรรม , ประวัติศาสตร์ หรือ กระทั่งการ์ตูนดีๆ ก็สามารถทำให้คนอ่าน ฉลาด ขึ้นได้ ในขณะเดียวกัน การอ่านหนังสือที่เน้น อัจฉริยะ มากเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดความงมงายหมกมุ่นจนไม่พัฒนาเลยก็เป็นได้
 
(The Readers Online Cafe' : อย่ามาว่าหนังสือ สกัด สะกด สกรีน สแกน สแครช กรรมของแม่ผมนะ)

การกระตุ้นให้บ้านเราเป็น เมืองหนังสือโลก จึงไม่น่าจะใช่ จำนวน แต่คือเนื้อหาว่า คนส่วนใหญ่อ่านอะไร และ รัฐเข้าใจวัตถุประสงค์หรือส่งเสริมให้คนอ่านอย่างไร
 
(The Readers Online Cafe' : พี่จบแล้วใช่อ่ะ?! พี่จบ ผมจบ)
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
อีกหนึ่งท่าน คุณปราบดา หยุ่น ข่าวจาก mthai 

...

นอกจากนี้ ยังมี เสียงวิจารณ์จาก ปราบดา หยุ่น นักเขียนรางวัลซีไรท์ชื่อดัง ที่ออกมาแสดงมุมมองของตน ต่อโฆษณากรุงเทพเมืองหนังสือ ด้วยว่าโฆษณาดังกล่าวเป็นการหลอกลวงผู้รับสาร ดังนี้
(The Readers Online Cafe' : หลอกลวงเหมือนแชร์แม่ชะม้อยไหมพี่?)

โฆษณาชิ้นนี้ไม่ได้สื่อว่าการอ่านหนังสือทำให้คนฉลาด แต่บอกว่าแค่ถือหนังสือทำท่าว่าอ่านคนอื่นก็จะคิดว่าคุณเป็นคนน่าเคารพแล้ว  
(The Readers Online Cafe' : พี่อีกคนละ บอกว่าอย่าเยอะ!?)
พูดอีกอย่างคือจงสร้างภาพด้วยการอ่านหนังสือ เหมาะมากกับ “เมืองตอแหลโลก”
(The Readers Online Cafe' : ไหนๆ ก็เป็นเมืองน้ำลดตอผุดแล้ว จะเป็นเมืองตอแหลโลก อีกสักตำแหน่งจะเป็น'ไรไปเพ่!?)

นอกจากจะต้องทำท่าว่าอ่านหนังสือแล้ว หนังสือที่ถือยังต้องเป็นภาษาอังกฤษ 
(The Readers Online Cafe' : ก็อินเตอร์มันโก้กว่าเย๊อ)
และที่ตั้งวางทับกันอยู่นั่นก็เลือกมามั่วๆ ไม่ได้อยู่ในประเภทเดียวกันหรือเชื่อมโยงกับคนอ่านแต่อย่างไร
(The Readers Online Cafe' : ผมผิดเหรอเพ่ ผมชอบอ่านหลายแนวอ่ะ)
ขอแนะนำว่าคลิปต่อไปให้ถือหนังสือกลับหัวกลับหางไปเลย จะได้ฮากว่านี้ 
(The Readers Online Cafe' : เฮ้ยพี่คิดได้อ่ะ เจ๋งไปเลยพี่)

นอกจากนี้ ปราบดา ยังทิ้งคำถามให้ผู้จัดทำโฆษณาชิ้นนี้ด้วย 2 คำถาม คือ

1) เมื่อไหร่สไตล์การทำโฆษณา “ทำฮากับคนธรรมดาในอากัปกิริยาเปื่อยๆ กับเสียงพากย์กวนๆ” นี่จะหมดไปเสียที
(The Readers Online Cafe : แค่นี้ยังน้อยพี่ เดี๋ยวมาอีกหลายซีรี่ส์)
 
2) ทำไมคนจัดงานเมืองหนังสือโลกถึงอยากทำร้ายการอ่าน
(The Readers Online Cafe : อาการการอ่านสาหัสไหมพี่?)
 
..ก็เป็นการแหย่กันขำๆ ไม่รู้พี่ๆ เขาจะขำด้วยไหม เอาเป็นว่าลองคิดว่า "เราทุกคนมีเจตนาดีล่ะกันนะครับ" คิดอย่างนี้สบายใจดี แต่แนะว่าจะทำสปอตคราวหน้า ให้จัดทำประชาพิจารณ์ไปเลยครับท่าน!...(ฮา)

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

It's Raining Books by Alicia Martin งานศิลปะสุดมหัศจรรย์กลางกรุงมาดริด ฝีมือศิลปินหญิงชาวสเปน อลิเซีย มาร์ติน


It's Raining Books by Alicia Martin งานศิลปะสุดมหัศจรรย์กลางกรุงมาดริด ฝีมือศิลปินหญิงชาวสเปน อลิเซีย มาร์ติน

Story : R.ANCHALEE

หากคุณกำลังสงสัยว่าจะทำอย่างไรกับหนังสือบรรดาหนังสือเก่าของคุณดี? ลองดูทางนี้



เพราะเดี๋ยวนี้การจะเปลี่ยนหนังสือเก่าเป็นเงินเป็นกอบเป็นกำโดยนำไปขายที่ร้านหนังสือมือสองก็ยากนัก

แต่หากคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้กรรไกรและปืนกาวแล้วล่ะก็ คุณก็อาจสร้างมันเป็นผลงานศิลปะได้เหมือนกันนะเ้อ้อ

ดังเช่นโปรเจคงานศิลปะของศิลปินหญิงชาวสเปนนามว่า อลิเซีย มาร์ติน (Alicia Martin) คนนี้ปะไร เธอใช้หนังสือราว 5,000 เล่ม สร้างเป็นงานศิลปะสุดเจ๋งขึ้นบนตึกสำคัญๆ ทางประวัติศาตร์ในกรุงมาดริด ให้ผู้คนเดินผ่านมาไปมาได้อึ้งทึ่งกันทีเดียว

It's Raining Books by Alicia Martin งานศิลปะสุดมหัศจรรย์กลางกรุงมาดริด ฝีมือศิลปินหญิงชาวสเปน อลิเซีย มาร์ติน





จากโครงสร้างที่เห็นนี้ ในจำนวนหนังสือส่วนใหญ่ยึดเกาะกันเป็นเสาค้ำอย่างมั่นคง โดยการสานกันเป็นตาข่ายในโครงสร้างภายใน โครงสร้างที่เกี่ยวกระหวัดกันภายในให้รูปทรงที่หลากหลายและยึดเกาะทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกันแม้ว่าชิ้นส่วนต่างๆ ดูเหมือนกำลังไหลพรั่งพรูลงมาก็ตาม


"จากโครงสร้างเหมือนตึกโค้งรูปทรงค่อนข้างอิสระ ภายนอกแลดูยุ่งเหยิงนี้ แกนในกลับแข็งแรงมั่นคง ส่วนหน้ากระดาษที่ไม่ได้ถูกยึดไว้จะถูกลมพัดเป่าปลิวไสวส่งเสียงดังกรอบแกรบ". My Modern Met เขียน


ชมการผลงานศิลปะนี้แบบเคลื่อนไหวได้จากวีดีโอด้านล่างนี้นะครับ



 

หรือนี่จะเป็นสัญลักษณ์ของกาลอวสานของหนังสือ หรือมันจะเป็นดั่งเครื่องรางของขลังกันแน่ ? เอ...หรือว่ามันก็แค่งานศิลปะสุดเจ๋งชิ้นหนึ่ง? อันนี้ก็สุดแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านล่ะครับ


ส่วนไอ้เราเห็นแล้วก็เสียดายหนังสือตงิดๆ ถ้าเป็นของส่วนตัวหน่อยไม่ได้จะบริจาคให้เรียบแล่โรงเรียนของหนูทีเดียว....

ที่มา : http://wheelercentre.com

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ดีพอต่อทุกสิ่ง - ศิริพงษ์ จันทร์หอม สำนักพิมพ์ ร.ศ.๒๒๙

Story:R.ANCHALEE 



ดีพอต่อทุกสิ่ง - ศิริพงษ์ จันทร์หอม สำนักพิมพ์ ร.ศ.๒๒๗

"วรรณศิลป์สุดคลาสสิคหนึ่งใน 5 เล่มของชุด "คุณค่าชีวิต" ที่เล่าเรื่องราวผ่านกาลเวลา ด้วยมุมมองทางธรรมให้เห็นแก่นแท้ของชีวิต ให้เข้าใจความหมายของชีวิตอย่างแท้จริง …คนดีหรืออะไรที่ดีนั้น
ไม่ได้วัดแค่เฉพาะเราเท่านั้นพอ แท้จริงแล้วต้องดีพอสำหรับทุกสิ่ง ทุกคน จึงจะเรียกว่าดีจริง คมทวน คันธนู เขียนคำนิยม"

คำนำสำนักพิมพ์

จะเดินหน้าหรือถอยหลังก็เท่ากันชีวิต ประโยคนี้เป็นจริงตามที่คุณศิริพงษ์ว่าไว้ทุกประการ ชีวิตนี้ไม่รู้ว่าอนาคตจะมีอีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี เพราะฉะนั้นอยากทำอะไรก็ควรรีบทำ และทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้หากเหนื่อยนักก็หยุดพักอยู่กับที่ แล้วแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า ดูคลื่นเมฆ และแสงดาวบ้าง พอให้คลายความล้า แต่เมื่อใดที่ความท้อแท้มันเกาะกินหัวใจคุณขึ้นมา ขอให้ความเข้มแข็งเฮือกสุดท้าย ช่วยพยุงคุณหยุดอยู่ตรงนี้ให้ได้นะคะ เพราะหากคุณไม่อยากหยุดความท้อแท้ และหลับหูหลับตาก้าวถอยไปข้างหลังจะเท่ากับว่ารอยเท้าทุกรอยที่คุณได้ก้าวผ่านพ้นมาแล้วจะไม่มีความหมายใดๆ อีกเลย

อย่าอายเลยที่วันนี้คุณอาจพายแพ้ ล้มเหลว อ่อนแรง มันเป็นเรื่องธรรรมดาที่ชีวิตอาจไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนที่เคยได้ตั้งใจไว้ ใครที่คุณมองเขาอย่างชื่นชม เมื่อในวันวานพวกเขาเหล่านั้นก็เคยหกล้มเช่นคุณเหมือนกัน บางคนทำเรื่องน่าเศร้าโดยการนำความผิดหวังของตัวเอง ไปริษยาผู้อื่น หรือคนที่ได้ดีกว่า อย่าหลงกลความคิดติดลบของตัวเองเลยนะคะ เพราะมันจะผลักรังสีความชั่วร้ายออกมาจนคุณเองก็ไม่อาจควบคุมไหว

เรามาเริ่มกันใหม่กับชีวิต คิดมองในมุมอื่น มองแบบเข้าข้างตัวเองดูบ้างว่าบทเรียนจากความผิดหวังของคุณนั้น จะหลายเป็นพลังงานให้ผู้อื่นเกิดความเชื่อมั่นต่อไป

มนุษย์เราจะมีค่ามากหรือน้อย ส่วนหนึ่งเขาวัดกันตรงนี้ ใครที่เคยคิดว่าเราไม่ดีพอสำหรับเขาหรือใคร ให้คุณคิดกลับไปว่าดีแล้ว เพราะเขาก็ไม่ควรมีความหมายใดๆ กับเราอีกเลยเช่นกัน

ดีให้พอกับทุกสิ่ง
อรพรรณ เพ็งฉุย
สำนักพิมพ์ ร.ศ.๒๒๙

 

ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจต่อคำนำในหนังสือ ดีพอต่อทุกสิ่ง เป็นอย่างมากและเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้กลับบ้าน คุณอรพรรณ เพ็งฉุย เขียนกล่าวนำได้ดีเหลือเกิน ใช้คำพูดแสนเรียบง่าย ทว่าหนุนใจได้ดีนัก

ในช่วงเวลานั้นข้าพเจ้ารู็้สึกต้องการกำลังใจ ชีวิตที่วุ่นวายในกรุงเทพมหานครทำให้สับสน ข้าพเจ้าโหยหาวิถึชีวิตต่างจังหวัด โหยหาความสุขแบบอิ่มใจ ไม่ใช่ความสุขแบบแห้งแล้งฉาบฉวยอย่างที่พบในกรุงเทพมหานคร
 
ขณะที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือ ดีพอต่อทุกสิ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกสงบใจยิ่ง ด้วยว่าผู้เขียนได้บรรยายถึงหนหลังเกี่ยวกับความทรงจำในวัยเด็ก บรรยายถึงวิถีชีวิตผู้คนที่พึ่งพาธรรมชาติ เอื้ออาทรต่อทุกสิ่งรอบกาย ไม่แก่งแย่ง ไม่แข่งขันกันเช่นทุกวันนี้ ข้าพเจ้าได้กลิ่นอายของธรรมชาติลอยมาแตะจมูก กลิ่นของดิน กลิ่นของบ้านไม้เก่า กลิ่นคอกหมู ได้ยินเสียงนกร้อง และเสียงน้ำไหล ใจเกิดความร่มเย็น

ผู้เขียนได้บรรยายภาพภายในบ้านที่เงียบสงบ และละแวกบ้านที่เต็มไปด้วยธรรมชาติสุดสมบูรณ์ มีภาพวิถีชีวิตของศิริพงษ์ จันทร์หอม ครอบครัว และเพื่อนบ้าน เขาและครอบครัวสอยความสุขได้จากทุกสิ่งรอบกาย แม้จะไม่ร่ำรวยวัตถุ หากแต่ร่ำรวยและอุดมไปด้วยสินทรัพย์จากธรรมชาติ คนเราจะต้องการอะไร แค่มีปัจจัยสี่ก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิตแล้ว แค่มีที่อยู่ที่พักอาศัย อาหารประทังหิว ยารักษาโรคเวลาเจ็บไข้ มีเสื้อผ้าสวมใส่ให้คลายหนาว 
การที่เราไม่ทะยานอยากใช่ว่าเราจะดีไม่พอสำหรับทุกสิ่ง แต่สำคัญอยู่ที่ว่าเราเป็นผู้เลือกได้ต่างหากว่าสิ่งใดที่ดีพอสำหรับเรา


ชื่อหนังสือ : ดีพอต่อทุกสิ่ง
ชื่อผู้เขียน  : ศิริพงษ์ จันทร์หอม
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์ ร.ศ.๒๒๙
พิมพ์เมื่อ    : พิมพ์ครั้งที่ 1  2553


วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ห้องสมุดรถไฟหัวกระสุนที่ อากิชิมะ ประเทศญี่ปุ่น : The bullet train library in Akishima, Japan




Story : R.ANCHALEE 


ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid ร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
 
ห้องสมุดรถไฟหัวกระสุน อากิชิมะ ประเทศญี่ปุ่น  


ถ้าหากคุณเป็นเยาวชนที่เติบโตมาในประเทศญี่ปุ่น ก็มีโอกาสเป็นไปได้ว่าคุณจะได้อ่านหนังสือการ์ตูนภาพที่ชื่นชอบมากมายบนรถไฟคันประวัติศาตร์ เพราะที่อากิชิม่า (Akishima) เมืองที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของนครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีห้องสมุดที่ถูกดัดแปลงมาจากตู้ขบวนรถไฟชินคันเซ็นที่ปลดระวางแล้วหากแต่ยังถูกอนุรักษ์ไว้ โดยรถไฟหัวกระสุนขบวนที่ถูกปลดระวางเหล่านี้ จะถูกทยอยนำไปทาสีเดิม (น้ำเงิน-ขาว) แล้วส่งให้มิวเซี่ยมทั่วโลก ซึ่งรวมถึงนำมาทำเป็นห้องสมุดแห่งนี้ด้วย ณ ห้องสมุดรถไฟหัวกระสุนแห่งนี้คุณจะได้อ่านหนังสือที่ชื่นชอบมากมาย 

รถไฟหัวกระสุนขบวนที่ถูกปลดระวางเหล่านี้ จะถูกทยอยนำไปทาสีเดิม (น้ำเงิน-ขาว)


การดัดแปลงรถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็นซี่รี่ส์ 000 ให้กลายเป็นห้องสมุดของเด็กๆ ในเมืองอะกิชิม่าเริ่มตั้งแต่ปี 1992 เด็กเล็กๆ สามารถวิ่งเล่นตีลังกาบนรถไฟตู้โดยสารขนาด 25 ที่นั่งได้สบายๆ และยังได้เพลิดเพลินไปกับการอ่านหนังสือที่มีมากมายกว่า 10,000 เล่ม 

จากวีดีโอข้างล่างนี้ จะเห็นได้ว่าเด็กๆ ยังสนุกสนานกับการได้เล่นอุปกรณ์และระบบบังคับรถไฟในห้องคนขับอีกด้วย และห้องสมุดบนตู้รถไฟแห่งนี้ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานเฉพาะเด็กๆ เท่านั้น แต่ยังมีชื่อเสียงโดยทั่วไป เพราะว่ารถไฟสายสีน้ำเงิน - ขาว ซี่รี่ส์ 000 นี้ เป็นรถไฟชินคันเซ็นรุ่นแรกและกล่าวได้ว่าเป็นตำนานของรถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็นก็ว่าได้ 

ด้วยความเร็วสูงสุด 130 ไมล์ต่อชั่วโมง รถไฟหัวกระสุนซี่รี่ส์ 000 นี้ ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกต่อสาธารณะชนพร้อมกับเปิดวิ่งรถเที่ยวแรก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2507 วิ่งระหว่างโตเกียว กับ โอซาก้า มีรถวิ่งเข้าวิ่งออก ณ ปีที่เปิดตัว วันละถึง 60 เที่ยว!

สมัยนั้นแบ่งขบวนรถเป็น 2 แบบ คือ 
1. Hikari (ฮิคาริ แปลว่า แสง) วิ่ง Tokyo-Osaka ในเวลา 4 ชั่วโมง จอดแต่สถานีหลัก 
2. Kodama (โคดามะ แปลว่า เสียงสะท้อน) ถึงโอซาก้าในเวลา 5 ชั่วโมง เพราะจอดดะทุกสถานี เป็นชินคันเซนหวานเย็น 




 รถไฟหัวกระสุนซี่รี่ส์ 000 นี้ ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกต่อสาธารณะชนพร้อมกับเปิดวิ่งรถเที่ยวแรก
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2507

ทาง JR West ผู้ให้บริืการสายรถไฟ ได้จัดงานซาโยนาระขบวนรถไฟซี่รี่ส์ 000 ที่ Hakata อย่างเป็นทางการหลังโตเกียวโอลิมปิกเกมส์เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2551 นี่เอง (ซี่รี่ส์ใหม่ N700 ที่ทันสมัยกว่าเข้ามาแทนที่ด้วยความเร็วสูงสุด 186 ไมล์ต่อชัวโมง) รถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็นและกีฬาโอลิมปิกเป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งวันใหม่ของประเทศญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีอันก้าวหน้าและอำนาจของญี่ปุ่นที่ขึ้นมามีบทบาทสำคัญต่อนานาชาติ หลังจากแพ้สิ้นรูปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

ดังนั้นห้องสมุดรถไฟหัวกระสุนแห่งนี้จึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกด้วย



เด็กกำลังเพลิดเพลินสนุกสนาน ณ ห้องสมุดรถไฟหัวกระสุน ที่ อากิชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ชมได้จากคลิปวีดีโอ




เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ย้อนนึกถึงรถไฟในบ้านเรา ที่ควรถูกปลดระวาง ไม่ควรนำมาวิ่งนานแล้ว สู้นำมาทำเป็นห้องสมุดเก๋ไก๋อย่างนี้เสียจะดีกว่า เพราะรถไฟของไทยเรามองดีๆ ก็คลาสสิกไม่เบาจริงไหมครับทั่น


ที่มา : http://news.cnet.com
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid ร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

Story: The Readers Online Cafe' 



ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid ร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
 
           ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid ร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


ร้านหนังสือ El Ateneo (เอล อาเตเนียว) Grand Splendid จัดเป็นหนึ่งในร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองรีโคเลต้า กรุงบัวโนสไอเรส ซึ่งเคยเป็นโรงละครเก่าในอดีต ถูกปรับปรุงใหม่โดยสถาปนิก Fernando Manzone และเปลี่ยนเป็นร้านขายหนังสือในปัจจุบัน 

 ภาพวาดบนเพดานทรงโค้ง  ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในเทพนิยายในฝัน


บรรยากาศภายใน
ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid สวยงามชวนฝัน เป็นสุดยอดปราถนาของนักอ่านที่อยากไปเยือนสักครั้ง ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid ล้นด้วยมนต์เสน่ห์ที่สวยงามทางสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ผู้ที่ไปเยือนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของโรงละคร จากผ้าม่านประกอบฉากสีแดง ภาพวาดบนเพดานทรงโค้ง  ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในเทพนิยายในฝัน ที่ El Ateneo Grand Splendid ยังโดดเด่นด้วยแสงไฟเจิดจ้าขับให้ที่แห่งนี้ดูสมสง่าราศรีโรงละครเก่า ภายในยังประกอบด้วยร้านกาแฟให้นั่งพักอ่านหนังสือ จิบกาแฟ ตามอัธยาศัย
 
 

 
ล้นด้วยมนต์เสน่ห์ที่สวยงามทางสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม



 โดดเด่นด้วยแสงไฟเจิดจ้าขับให้ที่แห่งนี้ดูสมสง่าราศรี

ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid ถือได้ว่าเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่สร้างความสุข  ความอิ่มเอมใจให้กับชาวอาร์เจนติน่า และนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนทุกคน

ภาพจาำำำก : อินเตอร์เน็ต

ชมคลิปวีดีโอ พาทัวร์ร้านหนังสือ El Ateneo Grand Splendid


วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Games III : Mocking Jay - เกมล่าชีวิต 3 ม็อกกิ้งเจย์ โดย Suzanne Collins - หนังสือที่อยากได้ของคุณ Sakkathewarangsan Amonosotthasakun


The Hunger Games III : Mocking Jay - เกมล่าชีวิต 3 ม็อกกิ้งเจย์ โดย Suzanne Collins - หนังสือที่อยากได้ของคุณ Sakkathewarangsan Amonosotthasakun
 

หนังสือที่อยากได้ 

The Hunger Games III : Mocking Jay - เกมล่าชีวิต 3 โดย Suzanne Collins
 
เหตุผลที่อยากได้ 

 
"The Hunger Games III : Mocking Jay - เกมล่าชีวิต 3 ม็อกกิ้งเจย์ เล่มสุดท้ายของไตรภาคชุด "เกมล่าชีวิต" เนื้อเรื่องชวนติดตามถึงขนาดทำใ
ห้สตีเว่น คิงกล่าวไว้ว่า "ผมไม่สามารถหยุดอ่านได้" มาแล้ว

เกี่ยวกับหนังสือ The Hunger Games III : Mocking Jay - เกมล่าชีวิต 3 โดย Suzanne Collins




งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา งานรบก็เช่นกัน และนี่คือบทจบของ "เกมล่าชีวิต" ซึ่งยังคงเข้มข้นและพลิกผันตลอดเวลาเช่นเดียวกับสองภาคที่ผ่านมา ในภาค 2 "ปีกแห่งไฟ" 'แคตนิส' และ 'พีต้า' ต้องเข้าสู่เกมอีกครั้งอย่างไม่คาดฝัน แต่คราวนี้ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตของอีกฝ่าย ซึ่งแน่ละว่าเป็นจุดมุ่งหมายที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง และแคปิตอลคงไม่ยินยอมให้มีผู้พิชิตสองคนอีกเป็นครั้งที่สองแน่ แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้น แคตนิสพบว่านอกจากตัวเธอเองแล้ว ผู้ร่วมแข่งขันอีกจำนวนหนึ่งต่างก็ยอมสละชีวิตเพื่อให้พีต้ารอดเช่นกัน มีอะไรหรือใครอยู่เบื้องหลังเกมนี้อีกอย่างนั้นหรือ แคตนิสพยายามหาคำตอบเรื่องนี้ แต่ก่อนจะรู้ที่มาของมัน เธอก็ทำในสิ่งไม่คาดฝันอีกครั้ง...แคตนิสระเบิดสนามประลองด้วยธนูดอก เดียว...ธนูดอกเดียวนั้นพลิกประวัติศาสตร์แห่งพาเน็ม และก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงตามมาอีกมากมาย รวมทั้งความลับอันน่าตกใจซึ่งถูกปิดซ่อนมาตลอด 75 ปีนับตั้งแต่ยุคมืดและเกมล่าชีวิตเริ่มต้น อำนาจเป็นสิ่งหอมหวานเสมอ ไม่มีใครรู้ว่าคนเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง การส่งเด็กไปฆ่ากันเองในสนามประลองอาจเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอีก หลายๆ เกมที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงในโลกจริงใบนี้

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เอเร็ค เร็กซ์ ตอน อสุรกายแห่งนิรเทศโดย Kaza Kingsley - หนังสือที่อยากได้ของคุณ Orawan Inthasoi

เอเร็ค เร็กซ์ ตอน อสุรกายแห่งนิรเทศโดย Kaza Kingsley - หนังสือที่อยากได้ของคุณ Orawan Inthasoi
 



หนังสือที่อยากได้ 

เอเร็ค เร็กซ์ ตอน อสุรกายแห่งนิรเทศ (Erec Rex : The Mosters of Otherness)


เหตุผลที่อยากได้ 


"
หนังสือเรื่องเอเร็คเร็กซ์ เล่มสองค่ะ เพราะว่าอยากได้มาเป็นแนวทางในก
ารแต่งหนังสือของเราเองดูบ้าง เพราะมันมีหลายแง่คิดให้ดู ^^ "


เกี่ยวกับหนังสือ  เอเร็ค เร็กซ์ ตอน อสุรกายแห่งนิรเทศ (Erec Rex : The Mosters of Otherness) โดย Kaza Kingsley (แคซา คิงสลีย์)




สงครามแย่งชิงคทา ยังดำเนินต่อไป หนทางสู่การเป็นกษัตริย์เดินพันด้วยชีวิต "เอเร็ค เร็กซ์" ต้องประจันหน้ากับกองทัพเจ้าชายเงา "อะลีเพียม" กำลังเดือดพล่าน เขาจะคิดหาหนทางช่วยให้โลกรอดพ้นจากการทำลายล้างของจอมเวทได้หรือไม่? พร้อมกันนั้นยังต้องทำพันธกิจสุดโหดที่ต้องแลกด้วยทุกอย่างแม้ชีวิต เพื่อนแท้จากทุกดินแดนแห่งเวทและเหล่ามังกรยังเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่ไม่ห่าง สิ่งมหัศจรรย์บันดาลใจพรั่งพรูให้ได้ลุ้นระทึกตลอดเล่ม จนคุณวางไม่ลงเลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ร้านวานิลลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย - Book Cafe คาเฟ่อ่านหนังสือใจกลางกรุงเทพฯ


ร้านวานิลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย - Book Cafe คาเฟ่อ่านหนังสือใจกลางกรุงเทพฯ
Story : R.ANCHALEE


 ป้ายหน้าร้านวานิลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย


เช้านี้อยากแนะนำสถานที่อ่านหนังสือที่น่าสนใจอีกสักร้าน ร้านนี้ชื่อว่าร้านวานิลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย ตั้งอยู่ซอยเจริญใจ (เอกมัย 12)

โดยส่วนตัวแล้วชอบสถานที่แห่งนี้และเคยไปนั่งอ่านหนังสืออยู่หลายครั้ง ชอบที่บรรยากาศอบอุ่นเหมือนบ้าน นอกจากนี้ยังมีร้านหนังสือให้เข้าไปเดินเลือกดูตามอัธยาศัย



ร้าน วานิลลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย แบ่งออกเป็นสองโซน โซนแรกเป็นสไตล์ญี่ปุ่นชื่อ Vanilla Cafe และอีกโซนสไตล์จีนชื่อ Royal Vanilla

เริ่มจากโซนแรก Vanilla Cafe สไตล์การตกแต่งเเป็นแบบบ้านยุคเก่าปี 50’s เฟอร์นิเจอร์แบบ Retro สไตล์ญี่ปุ่นที่เน้นความเรียบง่ายและความเป็นส่วนตัว มีหนังสือให้เลือกอ่านอยู่ทุกมุม ส่วนแสงไฟเน้นโทนสีอบอุ่น ทำให้รู้สึกอยากนั่งนานๆ ไม่อยากลุกไปไหน หรือใครที่อยากจะนั่งรับลมด้านนอก ก็มีต้นไม้น้อยใหญ่ได้บรรยากาศร่มรื่น  ลมพัดเย็นสบาย เคล้าคลอเสียงน้ำพุ รู้สึกสงบใจยิ่งนัก

เมนูอาหารเป็นสไตล์อิตาเลียน-ญี่ปุ่น ที่เด็ดๆ ก็เห็นจะเป็นเมนูเช่น ครีมโคโรเกะปู  เส้นพาสต้าลิงกิวนี่ผัดกับซอสเพสโต้และกุ้งตัวโต ของหวานเป็น คินาโกะดังโงะ+ชาเขียวมัทฉะ สำหรับเครื่องดื่มพลาดไม่ได้กับ ชากุหลาบ ที่หอมหวลชวนดื่ม

ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบ Retro สไตล์ญี่ปุ่น

 
 มีหนังสือให้เลือกอ่านอยู่ทุกมุม


 
คินาโกะดังโงะ+ชาเขียวมัทฉะ
 

Royal Vanilla สไตล์การตกแต่งคล้ายกับโรงเตี๊ยมในหนังจีนย้อนยุค


ถัดไปไม่ไกลเป็นโซนจีน Royal Vanilla สไตล์การตกแต่งคล้ายกับโรงเตี๊ยมในหนังจีนย้อนยุค
เน้นอาหารไสตล์จีนฟิวชั่น มีอาหารจีนเด็ดๆ หลายเมนู อาทิ เส้นใหญ่กรอบราดหน้าปูนิ่มพริกไทยดำ และเส้นหมี่ซี่โครงหมูเต้าซี่พริกเซี่ยงไฮ้ และติ่มซำ


มีทั้งซาลาเปา และติ่มซำ

อีกบรรยากาศยามค่ำคืน

นอกจากร้านอาหารทั้งสองโซนแล้วที่ วานิลลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย แห่งนี้ยังมีร้านหนังสือที่ชื่อว่า   Sauce จำหน่ายทั้งวรรณกรรม นิตยสาร และซีดีเพลง อีกด้วย เรียกว่าใครทานอาหารเสร็จก็ไปเดินดูหนังสือต่อ หรือจะเลือกซื้อหนังสือแล้วไปนั่งชิลด์ในร้านก็ทำได้


 ร้านหนังสือที่ชื่อว่า   Sauce

 
จำหน่ายทั้งวรรณกรรม นิตยสาร และซีดีเพลง


ใครที่ไม่เน้นมาทานอาหาร (ซึ่งราคาค่อนข้างแพง) แต่ตั้งใจจะหาที่จิบกาแฟ เปลี่ยนบรรยากาศในการอ่านหนังสือ ก็แนะนำว่าให้ลองมาที่ร้านวานิลลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย ดูครับท่าน


ชื่อร้า่น
ร้วานิลลา การ์เด้น (Vanilla Garden) เอกมัย
เวลาเปิด : ทุกวัน 11.00 - 23.00 น.
ที่อยู่ : เลขที่ 53 ซ.เจริญใจ (เอกมัย 12) ถ.สุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110


ภาพจาก : อินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ร้าน L's Book Cafe & wine ร้านกาแฟน่านั่งในเซี่ยงไฮ้ (Shanghai, China)


ร้าน L's Book Cafe & wine ร้านกาแฟน่านั่งในเซี่ยงไฮ้ (Shanghai, China)
Story : R.ANCHALEE





ร้าน L's Book Cafe & wine แห่งนี้เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนฉางเต๋อ (Changde Lu) ตัดกับถนนนานจิงฝั่งตะวันตก (West Nanjing Lu)  เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองเซียงไฮ้ ประเทศจีน ทำไมน่ะหรือ? เพราะที่นี่เคยเป็นที่พำนักของนักเขียนชาวจีนผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการวรรณกรรมยุคใหม่ของจีนช่วงทศวรรษที่ 1940 ไงล่ะครับ

เธอผู้นี้ก็คือ ไอลีน ชาง นั่นเอง จะขอเล่าย่อๆ ถึง ไอลีน ชาง (1920-1995) นักเขียนผู้นี้สักหน่อย   ไอลีน ชาง เกิดที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนและไปศึกษาด้านวรรณกรรมที่มหาวิทยาลัยฮ่องกง งานเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์และสร้างชื่อแก่เธอสองเรื่องคือ “Romance” และ “Written on Water” หลังจากนั้นเธอได้ไปใช้ชีวิตและทำงานในแคลิฟอร์เนียหลายทศวรรษก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิต 

เธอเขียนเรื่องสั้น ซึ่งรวมถึง  "Se, Jei” หรือ “Lust, Caution” ที่ถูกดัดแปลงนำมาทำเป็นภาพยนตร์ ชื่อในภาษาไทยว่า เล่ห์ราคะ นำแสดงโดย ทัง เหว่ย, วังลีฮอม, โทนี่ เหลียง และโจอัน เชน  เข้าฉายที่บ้านเราเมื่อปี 2007 นอกจาก Se, Jei แล้ว นิยายหลายเรื่องของเธอ ซึ่งรวมถึง “Love in a Fallen City,” “Eighteen Springs” และ “Rogue of the North” ก็ถูกดัดแปลงมาทำเป็นภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน

นอกจากผลงานเรื่องสั้นผลงานของเธอยังประกอบไปด้วย ร้อยแก้ว บทวิจารณ์ บทละครเวที งานแปลและนวนิยาย ผลงานเขียนของเธอได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั้ง อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศสและเยอรมัน สไตล์ที่มีเอกลักษณ์ของเธอส่งอิทธิพลต่อผู้อ่านและนักเขียนทั่วเอเชียและทั่วโลก

ไอลีน ชาง เสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 กันยายน 1995 ที่ลอสแองเจลลิส แคลิฟอร์เนีย 



หากคุณได้เข้ามายัง L's Book Cafe & wine คุณจะสะดุดตากับรูปภาพของไอลีน ชาง และวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงของเธออยู่เรียงรายทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ กอปรกับทางเข้าสไตล์โดดเด่น คุณยังสามารถเลือกซื้อหาวรรณกรรมร่วมสมัยได้จากที่นี่รวมถึงหนังสือภาษาอังกฤษที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี มีทั้งงานของ Stephen King หรือ Jodi Picoult ที่จะเลือกหยิบไปนั่งอ่านในร้านหรือจะซื้อกลับบ้านก็ตามแต่อัธยาศัย

อาหารและเครื่องดื่มของทางร้านก็คัดสรรมาเป็นพิเศษ ทั้งชา กาแฟ ตลอดจนกระทั่งไวน์รสเลิศ คุณสามารถเพลิดเลินไปกับอาหารเมนูต่างๆ ทั้งแซนด์วิช พาสต้า หรือจะเป็นชีสเค้ก เค้กช็อกโกแลตแสนอร่อย นอกจากนี้ยังมีเซ็ตน้ำชายามบ่าย พร้อมด้วยอาคารคาวและของหวาน ในราคาสมเหตุสมผล บริการทุกวันแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือช่วงเวลา 14.30 น. และ 18.00 น.





L's Book Cafe & wine ตกแต่งด้วยรูปแบบเป็นกันเองในสไตล์โมเดิร์น อบอุ่นด้วยแสงไฟ ฝาผนังทาสีทองครีมแลดูคลาสสิค ประดับฝาผนังด้วยลวดลายจีนโบราณ ให้ควมรู้สึกเหมือนบ้านพักอาศัย ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินกับการอ่านและการดื่มไปพร้อมๆ กัน




กะจะแนะนำสถานที่อ่านหนังสือ แต่ไหงเขียนไปเขียนมาเหมือนรีวิวร้านอาหารไปเสียเนี่ย แต่เอาเถอะครับ แค่อยากจะแนะนำคนที่ไปเซี่ยงไฮ้และมองหาสถานที่นั่งชิลด์ ก็ลองไปร้าน L's Book Cafe & wine แห่งนี้ดูครับท่าน





ที่มาข้อมูล : www.echinacities.com 
                 www.nangdee.com
ภาพจาก    : www.dianping.com

Norwegian Wood ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย งานชิ้นเอกของ Haruki Murakami


Norwegian Wood ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย งานชิ้นเอกของ Haruki Murakami



เมื่อสัปดาห์ก่อน ทาง True Vision ได้นำเอาเรื่อง Norwegian Wood มาฉายทางช่อง Special Movie ด้วยความที่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ และบอกตามตรงว่าเป็นหนังสือของมูราคามิที่ไม่เคยอ่าน ทั้งที่ Norwegian Wood  เล่มนี้ถือว่าเป็นงานชิ้นเลิศของมูราคามิ หลายคนอาจตราหน้าข้าพเจ้าว่าไม่ใช่แฟนมูราคามิตัวจริงนี่หว่า ข้าพเจ้าโค้งรับด้วยความเต็มใจ ข้าพเจ้าชอบอะไรบางอย่างในงานของมูราคามิ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนที่คลั่งไคล้ Haruki Murakami  

วันนี้อาจจะแปลกไปสักหน่อย หากข้าพเจ้าจะมีทัศนะเกี่ยวกับหนัง ไม่ใช่หนังสือ สำหรับหนังสือ Norwegian Wood เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์เข้าหูแต่ยังไม่เคยอ่าน พอได้เห็นผังรายการทาง True Vision ว่ามีภาพยนตร์ชื่อคลับคล้าคลับคลากับชื่อหนังสือ Norwegian Wood ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย ก็กดรีโมทไปดูอย่างไม่ตั้งใจ ชื่อหนังในภาษาไทยไม่ตรงกับชื่อของหนังสือนัก แต่ก็ไม่แปล่งไปจนจำเค้าเดิมไม่ได้ ไม่ต้องสอบทานก็มั่นใจ เพียงแค่เรื่องเดินไปไม่นาน ฉากผ่านสายตาไปไม่กี่ฉาก ก็คุ้นว่ามันเป็นหนังที่เอามาจากหนังสือมูราคามิอย่างแน่นอน รู้ได้อย่างไร?

เอาแค่เดินเรื่องมาไม่นานเพื่อนซี้ของพระเอกก็ฆ่าตัวตายเสียแล้ว วิธีฆ่าตัวตายก็อาร์ท เอาท่อสายยางต่อกับท่อไอเสียรถยนตร์แล้วก็เข้าไปนั่งดมแก๊สพิษจนตาย จินตนาการเรื่องการฆ่าตัวตายนี่ข้าพเจ้ายกให้มูราคามิเป็นเลิศ เห็นหลายเล่มแล้ว ตายแบบธรรมดารถชนบี้ติดยางล้อ หรือติดยงติดยา นี่ไม่ใช่มูราคามิ ตายแบบมูราคามิ ต้องตายแบบอาร์ทๆ 




ไหนจะฉากของร้านแผ่นเสียงที่พระเอกทำงานพิเศษ บรรยากาศอึนๆ ไฟส้มๆ เหงาๆ ไหนจะฉากของห้องพักทึมเทา มองไปที่ภาพรวมของเรื่อง ตัวละครนิสัยแปลกแยก บทเพลงยุคเก่า และฉากเซ็กส์ปลดเปลื้อง ชัด นิยายของมูราคามิ !

ก็น่าแปลกที่งานของมูราคามีแต่ความเงียบเหงาโดดเดี่ยว แล้วเราเสพอะไรในงานของมูราคามิกันหรือ? เสพติดความเศร้า หรือว่าเราเสพติดความเหงา?ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง... เราเสพอะไรบางอย่างที่มูราคามิถ่ายทอดออกมาตรงกับความรู้สึกของเราในห้วงเวลาหนึ่ง

เช่น ห้วงเวลาที่หัวใจสลาย อย่างในหนัง Norwegian Wood ทุกคนคงเคยมีห้วงเวลานี้ กับรักแรก กับรักครั้งล่าสุด หรือจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และฉากที่พระเอกหัวใจสลาย ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นฉากไคลแมกซ์ของเรื่องก็เป็นฉากที่ข้าพเจ้าโปรดปรานที่สุด ชอบแสง ชอบฉากของทะเลบ้าคลั่ง ชอบเวิ้งใต้หน้าผา ชอบที่พระเอกร้องไห้อย่างไม่อาย ความชอบแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชมที่พระเอกไม่เลือกทางเดินด้วยการจบชีวิต เขาเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ นาโอโกะ รักแรกของเขาจะจากไปแล้วก็ตาม

Norwegian Wood ด้วยรักความตายและหัวใจสลาย ไม่ใช่หนังสือที่สิ้นหวังเสียทีเดียว การที่พระเอกได้เจอกับเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยสาวสวย มิโดริ ที่มีปมในใจเช่นเดียวกับเขา การสานสัมพันธ์ของทั้งคู่ต่างมีเงื่อนไขด้วยว่าต่างคนต่างมีคนที่คบหาอยู่ก่อนแล้ว

แต่ทว่า...หลังจากที่พระเอกหัวใจสลายหลบไปใช้ชีวิตตามลำพัง เมื่อเขากลับมา



...มิโดริ 



ยังรอเขาอยู่...



ขอชมเชย ตรัน อานห์ ฮุง ผู้กำกับชาวเวียดนาม ว่าฝีมือชั้นเลิศ ขณะที่เรื่องดำเนินไป  ข้าพเจ้ารู้สึก "ร่วม" ด้วยเกือบตลอดเวลา แต่ไม่ใช่มานั่งร้องห่มร้องไห้ที่นางเอกผูกคอตาย แต่เป็นอารมณ์แบบ เฮ้ยเหงาจังว่ะ เฮ้ย ทำไมตัวละครนั้นมันทำอย่างนั้น ตัดสินใจอย่างนี้ 

การได้ดูหนัง Norwegian Wood ทำให้เราได้สัมผัสตัวละครของมูราคามิในอีกมิติ มิติที่มีชีวิต ได้เห็นอากัปกิริยาเคลื่อนไหว สีหน้าท่าทาง รอยยิ้ม หรือรายละเอียดต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในฉากแจ่มชัดขึ้น

แม้ว่าจะยังไม่ได้อ่าน Norwegian Wood ด้วยรักความตายและหัวใจสลาย ก็ตามที แต่ข้าพเจ้าตั้งใจแน่ว่า Norwegian Wood ด้วยรักความตายและหัวใจสลายเล่มนี้จะเป็นหนังสือที่ข้าพเจ้าต้องไปหาซื้อมาเก็บสะสมอย่างแน่นอน




ตัวอย่างภาพยนตร์ Norwegian Wood ด้วยรักความตายและหัวใจสลาย