วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต -เว่ย ถงเลี่ยง เขียน อธิคม สวัสดิญาณ แปล

Story : The Readers Online Cafe 


ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต -เว่ย ถงเลี่ยง เขียน อธิคม สวัสดิญาณ แปล
 
 
ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต - เว่ย ถงเลี่ยง

เนื้อหาหนังสือ ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต เว่ย ถงเลี่ยง เขียน อธิคม สวัสดิญาณ แปล

เนื้อหาสำคัญว่าด้วยกโลบาย "ยิ้ม" ซึ่งผู้เขียนวิจัยและสรุปได้อย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งได้รวบรวมตัวอย่างแบบฉบับการใช้กโลบาย "ยิ้ม" จากเหตุการณ์ต่างๆ ในประวัติศาสตร์จีนหลากหลายรูปแบบไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่สมัยบรรพกาลถึงสมัยราชวงศ์ชิง ทั้งที่เป็นคุณและให้โทษ สำเร็จและล้มเหลว เพื่อสนับสนุนระบบทฤษฎีข้างต้น เหมาะกับผู้อ่านทุกท่านที่ต้องการประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมายทุกด้านของชีวิตในแบบที่ต้องการ ทั้งในแง่นำไปประยุกต์ใช้จริง หรือเพียงต้องการอ่านไว้เป็นอุทาหรณ์ ช่วยให้รู้เท่าทันและรู้จักระวังป้องกันต่างๆ

สารบัญ
 
- วิธีใช้กโลบาย "ยิ้ม" เชิงทฤษฎี : บทสรุปจากอดีตถึงปัจจุบันว่าด้วยกโลบาย "ยิ้ม"
- วิธีใช้กโลบาย "ยิ้ม" เชิงปฏิบัติ : 83 ตัวอย่างแบบฉบับที่ควรศึกษา



ใครที่สนใจประวัติศาสตร์จีน สนใจศึกษากโลบายต่างๆ ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์การปกครอง และการห้ำหั่นชิงดีชิงเด่นของเหล่าขุนนางในราชสำนัก หรือแม้แต่เหล่าบรรดาฮ่องเต้เอง  ไม่ควรพลาดหนังสือ ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต ในเล่มนี้ผู้เขียนได้ศึกษากโลบายว่าด้วยการยิ้มอย่างลึกซึ้ง จนถ่ายทอดออกมาเป็นผลงาน ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต เล่มดังกล่าว

จากกรณีศึกษา วิธีใช้กโลบาย "ยิ้ม" เชิงปฏิบัติ : 83 ตัวอย่าง เราจะได้เห็นกลเด็ดเม็ดพรายที่แต่ละคนในประวัติศาสตร์จีนใช้ขับสู้กัน อ่านแล้วเหมือนกระโจนเข้่าไปสู่ประวัติศาสตร์อีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใครที่ชอบเรื่องจีนๆ แล้วด้วยล่ะก็ ต้องบอกว่าวางไม่ลง นอกจากความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้ความรู้ประดับปัญญา อ่านหน้า ใจคน วาจานี้อมตะยืนยงเสมอ "คือรู้หน้า มิร้ใจ"
 

ชื่อหนังสือ   :   ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต
ชื่อผู้เขียน    :  เว่ย ถงเลี่ยง
ชื่อผู้แปล     :  อธิคม สวัสดิญาณ
สำนักพิมพ์   :  สำนักพิมพ์เต๋าประยุกต์ ๒๐๑๑

ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่ 2 กรกฎาคม 2552

สนใจสั่งซื้อหนังสือ ยิ้ม : กโลบายเหนือผู้พิชิต ได้ที่

thereaders.webmaster@gmail.com

หรือ Facebook fan page

http://www.facebook.com/thereadersonlinecafe 

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ศิริวร แก้วกาญจน์ ผู้นำสารแห่งโลกประหลาดฯ ในผลงาน โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า (A weird world in the history of sadness)


ศิริวร แก้วกาญจน์ ผู้นำสารแห่งโลกประหลาดฯ ในผลงาน โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า (A weird world in the history of sadness)
นี่คือนวนิยายที่ตั้งคำถามกับสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์สำคัญหลายประการ

'โลกประหลาดฯ' ของ ศิริวร แก้วกาญจน์ จึงเป็นมากกว่านวนิยายที่มีจุดเริ่มต้นเพื่อยกระดับจิตใจคน


 

สภาวการณ์ทางสังคมหลายอย่างสะท้อนว่านี่กำลังสู่ยุคเสื่อมถอย ไม่ใช่แค่สังคมเสื่อม แต่จุดเล็กๆ อย่างจิตใจของคนก็ตกต่ำไม่แพ้กัน ในฐานะองค์กรที่ต้องแสดงบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบต่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงดำริโครงการสร้างสรรค์สื่อที่ช่วยยกระดับจิตใจไปจนถึงสังคม นี่คือจุดเริ่มต้นของ 'โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า' หนึ่งในนวนิยายภายใต้โครงการฯ

•อุบัติการของ 'โลกประหลาดฯ'
 
จากถ้อยคำปรารภของ หมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ที่มีต่อ อธิคม คุณาวุฒิ ว่าอยากผลิตสื่อที่ช่วยยกระดับสังคมนี้ ให้ผู้คนได้ครุ่นคิดถึงจิตใจตน ซึ่งนวนิยายก็เป็นสื่อหนึ่งที่หมอประเสริฐต้องการ
 
อธิคมจึงแบกแนวคิดนั้นไปปรึกษา ดอนเวียง-วชิระ บัวสนธ์ เพื่อเฟ้นหานักเขียนที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์นวนิยายเพื่อสังคมชุดนี้ และหนึ่งในนั้น คือ ศิริวร แก้วกาญจน์

 ศิริวรมีเวลาหกเดือนเพื่อเขียนนวนิยายหนึ่งเรื่อง หากเป็นนักเขียนบางคน ระยะเวลาเพียงเท่านี้ ไหนจะลงพื้นที่ ไหนจะคิดประเด็น ไหนจะวางโครงเรื่อง อาจเหลือเวลาเขียนจริงเพียงน้อยนิด ทว่า ศิริวร ผู้ที่ได้ชื่อว่านักเขียนรอบจัด ระยะเวลาจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ

 ในที่สุดนวนิยายเรื่องโลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้าของเขาก็เสร็จ และตกเป็นลิขสิทธิ์ของโครงการหนึ่งปี (2553) หลังจากพ้นหนึ่งปี ศิริวรก็กลับมาครุ่นคิดกับงานของตน ทำให้เขาพบว่ายังมีทางทำให้มันสมบูรณ์ขึ้นอีก...

 ศิริวรเล่าย้อนไปถึงตอนที่ได้รับโจทย์นี้มาว่าตอนนั้นในหัวยังเป็นสุญญากาศ แต่เมื่อได้เงื่อนไขเพิ่มที่ว่าตัวละครต้องมีอยู่จริงและไม่จำเป็นต้องเป็นคนไทย เขาก็คิดได้ทันทีว่าตัวละครนั้นคือใคร

 "น่าจะเริ่มมาจากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนซึ่งตอนนั้นผมพักอยู่แถวรามคำแหง มีนักศึกษาพม่ากลุ่มหนึ่งหนีมาจากเหตุการณ์ 8888 มาอยู่แถวรามคำแหง แล้วพี่ชายของผมคนหนึ่งเขาเช่าบ้านให้นักศึกษากลุ่มนั้นอยู่ เป็นกลุ่ม ABFDS ผมเองก็คลุกคลีสนิทสนมกับพวกเขาเหล่านั้น ต่อมาวันหนึ่งราวๆ ปี 2535 หรือ 2536 เพื่อนๆ นักศึกษาพม่ากลุ่มนี้เองที่ชวนผมกับเพื่อนนักศึกษารามคำแหงเดินทางไปที่ค่ายกองกำลังรบของพวกเขาในป่าของรัฐทวาย พวกเราออกจากกรุงเทพฯไปเมืองกาญจน์ แล้วก็นั่งรถขึ้นไปทองผาภูมิ เหมืองปิล๊อก ตอนนั้นการเดินทางลำบากมาก หมายถึงว่ามีรถสองแถวขึ้นไปเหมืองปิล๊อกวันหนึ่งแค่เที่ยวเดียว เส้นทางคดเคี้ยวและแคบๆ ไต่ขึ้นไปบนภูเขา ไประยะทางราวๆ 70 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาถึงค่อนวัน ถึงปิล๊อกเพื่อนนักศึกษาพม่าก็ติดต่อกับเพื่อนเขาอีกกลุ่มที่อยู่ตั้งกองกำลังรบเพื่อสู้รบกับกองทัพพม่าในป่าของรัฐทวาย เป็นเพิงพักเล็กๆ พวกเราเดินขึ้นเขาลงห้วยข้ามไปจนถึงทวาย เรื่องราวและชะตากรรมของพวกเขาเหล่านั้นมันก็ผนึกแน่นอยู่ในความทรงจำ"

•มนุษยธรรมบนโลกประหลาด
 
แน่นอนว่าเมื่อเอ่ยถึงพม่าในการรับรู้ของคนทั่วไปหรือจะเรียกว่าทั่วโลกก็ได้ เรื่องการจำกัดสิทธิมนุษยชน ถือเป็นภาพแรกๆ ที่ผุดขึ้นพร้อมคำว่าพม่า แน่นอนอีกว่า เมื่อนวนิยายของศิริวรเล่าเรื่องพม่า ประเด็นสิทธิมนุษยชนย่อมถูกชูเป็นหลักใหญ่
 
สำหรับศิริวรนั้นเรื่องคุณค่าแห่งมนุษย์มิได้กำหนดด้วยพรมแดนหรือภูมิศาสตร์แต่อย่างใด เพียงแต่ว่าโลกใบเล็กๆ ที่เขาได้ไปสัมผัสขณะลงพื้นที่ แตกต่างจากโลกอุดมคติหรือโลกของอภิปรัชญาก็เท่านั้น
 
"สิ่งที่ผมไปรู้ไปเห็นมาตามแนวตะเข็บชายแดน ความเป็นมนุษย์ของกลุ่มผู้พลัดถิ่นกลุ่มนั้นถูกแบ่งแยกด้วยพรมแดนต่างๆ เยอะมาก ไม่ว่าพรมแดนในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ พรมแดนทางวัฒนธรรม พรมแดนทางภาษา พรมแดนความเชื่อ พรมแดนของอคติ อะไรต่างๆ เหล่านี้ การปรับใช้ ถ้าจะเรียกอย่างนั้นก็น่าจะในแง่ของการที่ผมพยายามสาธิตความหมายของความเป็นคนนอก กับ คนใน โดยใช้กลวิธีการเล่าเรื่องแบบคู่ขนาน โดยใช้ตัวละครสองชุดใช้ภาษาสองแบบในช่วงแรกๆ เล่าถึงโลกสองใบที่ทั้งตอบโต้ ต่อต้าน จนนำไปสู่การเลื่อนไหลและซ้อนทับกันในที่สุด คือก่อนที่เราจะนิยามความเป็นคนนอกคนในได้เนี่ย เบื้องต้นเราต้องนิยามพื้นที่นั้นให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า ในพื้นที่หรือในภูมิประเทศที่ท่วมท้นไปด้วยสภาวะของความพลัดถิ่นแบบนั้น ทุกคนพร้อมที่จะถูกมองว่าเป็นคนนอก ขณะเดียวกันทุกคนก็อยากที่จะนิยามตนเองว่าเป็นคนใน หมายความว่า ถ้าเราพูดในบริบทของความเป็นรัฐชาติ พวกเขาเหล่านั้นคือคนนอก แต่ถ้าพูดผ่านบริบทของเมืองเล็กๆ ริมชายแดนซึ่งเต็มไปด้วยคนพลัดถิ่นหรือวัฒนธรรมพม่า พวกเขาก็ถือเป็นคนใน และตัวละครที่ใช้สรรพนามว่าผมที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่หรือนั้นก็จะถูกมองในลักษณะไม่ต่างกัน ในเมื่อทุกอย่างมันซ้อนทับและเลื่อนไหลไปมา นิยามความเป็นมนุษย์ก็ไม่ง่ายที่จะนิยามมันแบบตายตัว
 
ที่ผมพูดตั้งแต่ตอนแรกว่า ทำไมผมจึงต้องใช้กลวิธีการเล่าเรื่องสองแบบ โดยตัวละครสองชุด ชุดหนึ่งคือกลุ่มคนพลัดถิ่นที่พยายามรื้อฟื้นความทรงจำของตนเองเพื่อกอบกู้ตัวตนที่ถูกทำให้กระจัดกระจายโดยสภาวะของคนพลัดถิ่น และนักเขียนหนุ่มคนที่ถูกเลือกก็เพราะว่า ความเป็นนักเขียนนั้นก็คือเครื่องมือนำความทรงจำหรือตัวตนของพวกเขาไปบอกเล่าต่อให้กับโลกภายนอกได้รับรู้ แต่ขณะเดียวกัน นักเขียนหนุ่มเองก็ถูกเหวี่ยงมาในพื้นที่ดังกล่าวโดยสภาวะของคนนอก เขาตัดขาดตัวตนของตัวเองออกจากตัวตนของคนอื่นโดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นแน่นอนว่า ย่อมเกิดการตอบโต้ เกิดการปะทะประสานกันของโลกสองใบที่ซ้อนทับและเลื่อนไหลไปมาในสมรภูมิสองแบบ ทั้งภายนอกและภายใน"
 
กลวิธีของศิริวรทั้งเล่าเรื่องที่แตกต่างกันและตัดสลับฉากไปมานั้นสร้างมิติในนวนิยายเรื่องนี้มาก เขาเลือกให้ตัวละครอายุประมาณสามสิบปีซึ่งถือเป็นรอยต่อของชีวิต แต่นั่นไม่ใช่แค่รอยต่อของชีวิตเพราะต้องไปอยู่ที่รอยต่อพรมแดนประเทศ...เป็นรอยต่ออันทับซ้อน



"ฉะนั้น โลกทั้งโลกนี้ไม่มีความหมายกับเขาเลย เขาหมกมุ่นอยู่กับความเศร้าส่วนตัว กับชะตากรรมในเชิงปัจเจก เขาตัดขาดตนเองออกจากผู้อื่น ไม่มีพื้นที่สำหรับความเป็นอื่น และเต็มไปด้วยอคติ ตัวละครตัวนี้ ผมไม่รู้ว่าเขาอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามนะครับ แต่ตัวละครตัวนี้ถูกครอบงำด้วยอคติ อาจเป็นอคติจากเรื่องเล่า หรืออคติทางประวัติที่ถูกนำเสนอผ่านแบบเรียนแบบชาตินิยม ไม่เฉพาะไทยนะครับที่แบบเรียนถูกเขียนขึ้นแบบนี้ แต่ประเทศเพื่อนบ้านเราก็เขียนแบบเรียนผ่านมุมมองแบบเดียวกัน เพียงแต่ผมเลือกที่จะพูดถึงปัญหาที่กำลังเกิดอยู่ในชายแดนไทย-พม่า และตัวละครผมตัวนี้ นอกจากมีปัญหาส่วนตัวแล้ว ในแง่หนึ่งก็ไม่ต่างจากการมองเพื่อนบ้านผ่านความเป็นรัฐชาติไทยหรือในบริบทของความเป็นไทยอีกด้วย ในกรณีนี้พม่าสำคัญและน่าพูดถึงที่สุดสำหรับผมตอนนั้น"

•ความสมบูรณ์อันขาดพร่อง...ของเรื่องและโลก


 อย่างที่บอกไปว่าโลกประหลาดฯที่อยู่ในโครงการของสสส.นั้นเป็นลิขสิทธิ์โครงการเพียงหนึ่งปี แล้วหลังจากนั้นศิริวรก็นำมาปัดฝุ่นใหม่ เขาขัดเกลาอีกครั้ง คล้ายการพินิจถึงบางสิ่งย่อมพบอีกบางสิ่งที่เคยหลงหายไปจากความทรงจำ โลกประหลาดฯแบบฉบับที่ได้เข้าไปรอบ short list รางวัลซีไรต์ปีนี้ จึงมีจุดแตกต่างจากฉบับสสส.อยู่พอสมควร
 
"มันหนากว่า ก็เห็นอยู่แล้วว่ามันหนากว่า (หัวเราะ)" ศิริวรกล่าวด้วยอารมณ์ขัน
 
"จริงๆ เรื่องนี้ผมยอมรับว่าได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากเรื่องสั้นของตัวเองเรื่อง 'วัวพม่า' ผมกลับมาคิดต่อ มันมีประโยคหนึ่งซึ่งผมคิดต่อมาจากตลกพม่า คือในพม่ามันจะมีตลกอยู่คณะหนึ่งชื่อว่า 'ตลกปาปาเลย์' เขาจะเล่นตลกการเมืองแล้วเขาก็ถูกจับเข้าคุกบ่อย พอทหารพม่าจับเข้าคุก หลุดคดีออกมาเขาก็กลับมาเล่นต่อ ซึ่งตลกปาปาเลย์เนี่ยเขาจะมีกันสามคนพี่น้อง เล่นตลกการเมือง ถึงแม้จะถูกจับขังคุกกี่ครั้ง หลุดออกมาก็จะเล่นอีก ซึ่งนั่นก็คือการยืนยันอุดมคติ การยืนยันจุดยืนความคิดของเขา
 
นั่นทำให้ผมนึกถึงเรื่องตลก คือมันมีผู้ชายอยู่สองคน ที่แข่งกันว่าแต่ละคนมีอะไรที่ใหญ่กว่าคนอื่น ชายคนแรกพูดขึ้นว่า "วัวของฉันตัวใหญ่มาก" ชายคนที่สองก็เกทับลงไปว่า "ฉันคิดว่าวัวของฉันตัวใหญ่กว่า เพราะมันสามารถยืนคร่อมภูเขาแล้วก้มลงมากินหญ้าที่อีกหมู่บ้านหนึ่งได้สบายๆ" ชายคนแรกได้ฟังก็หัวเราะแล้วบอกว่า "ถ้าอยากนั้นฉันก็คงผูกวัวของเธอไว้ในบ้านของฉันได้ เพราะว่าบ้านของฉันเนี่ยใหญ่มหึมา ขนาดที่ว่าถ้าเด็กคนหนึ่งตกลงมาจากหลังคา กว่าจะถึงพื้นก็กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว" ชายคนที่สองได้ฟังก็ไม่ยอมแพ้และโต้กลับไปว่า "ถ้าอยากนั้น ลุงของฉันคงจะเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของเธอได้แน่ๆ เพราะลุงของฉันตัวใหญ่ขนาดที่คนในย่างกุ้งและมัณฑะเลย์สามารถมองเห็นได้พร้อมๆ กัน" ได้ยินดังนั้นชายคนแรกก็ยังไม่ยอมแพ้ พูดขึ้นมาอีกว่า "ถ้าอย่างนั้นลุงของเธอคงจะเหมาะกับป้าของฉันแน่ๆ เพราะว่าเพียงแค่ป้ายกเข่าขึ้นมา เข่าของป้าของฉันก็สามารถกระแทกท้องฟ้าดัง ทึง...ทึง...เหมือนจะทำให้ท้องฟ้าถล่มลงมาได้ นอกจากนั้นป้าของฉันยังมีงอบครอบหัวอยู่ใบหนึ่งที่เมื่อสวมแล้วสามารถคุ้มแดดคุ้มฝนให้ประชาชนในประเทศพม่าได้เลยทีเดียว" ซึ่งประโยคนี้ทำให้ผมรู้สึกว่านี่คือตัวแทนของ ออง ซาน ซูจี นี่คือสิ่งที่ตลกปาปาเลย์พูดไว้แล้วผมเอามาคิดต่อ เหมือนว่าเขาเล่นมุกกันเพื่อเอาชนะคะคานกัน แต่มันมีนัยยะทางการเมืองซ่อนเร้นอยู่"
 
จะเห็นว่าโลกประหลาดฯมีทั้งประเด็นการเมือง ประเด็นสังคม เรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องการต่อสู้ของชนกลุ่มน้อย ทุกประเด็นล้วนเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งในนวนิยายเรื่องนี้ประกอบด้วยข้อมูลและเรื่องเล่า นักเขียนจึงต้องสมดุลทั้งสองสิ่งให้ได้ เพื่อคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือและไม่บิดเบือนจากความจริง...เพราะละเอียดอ่อน หากผิดพลาดอาจส่งผลเสียได้
 
ศิริวรเล่าว่าเขาแทบไม่จัดการกับเรื่องเล่าเลย เพราะว่าโดยชีวิตประจำวันทุกวันนี้ก็ถูกท่วมทับไปด้วยเรื่องเล่า
 
"ที่ผมเลือกให้นักเขียนสารคดีเป็นผู้เล่าในอีก part หนึ่ง ในส่วนของตัวละครอีก part หนึ่งซึ่งผมวางไว้ให้เป็นนวนิยายเนี่ยเขาเลือกที่จะเล่าความทรงจำของตัวเอง เพราะฉะนั้นผมต้องหาตัวละครที่เป็นนักเขียน นักเขียนสารคดีหรือนักเขียนอะไรก็แล้วแต่ เพราะนักเขียนเนี่ยจะเป็นเครื่องมือในการนำสาร อย่างที่ตอนแรกเขาเล่าเรื่องของเขาเองเพราะว่าเขาต้องการที่จะสร้างตัวตนของเขาขึ้นมาใหม่ หลังจากที่มันถูกกระทำให้แตกกระจายด้วยอะไรก็แล้วแต่ จนมาถึงเมื่อเขาก้าวข้ามพรมแดนมาอีกประเทศหนึ่ง อีกภาษาหนึ่ง อีกวัฒนธรรมหนึ่ง เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามีแต่นักเขียนเท่านั้นที่จะสามารถบอกเล่าความทรงจำของคนกลุ่มนี้ได้ เพื่อที่จะให้ความจำของเขาเนี่ยมีชีวิต และถูกมองเห็น ถูกรับรู้ ในปริมณฑลที่มันกว้างออกไป
 
ผมจึงสมดุลด้วยรูปธรรมในแง่รูปแบบการเขียนที่เห็นชัดเจนเลย นี่คือการสมดุลอย่างหนึ่ง ซึ่งเราจะไม่พูดว่าในเชิงนามธรรมผมจะจัดการกับเรื่องเล่าชุดนี้ได้หรือเปล่า หนึ่ง ผมเลือกให้ตัวละครสื่อสารผ่านการบันทึกประจำวันและหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับความเป็นตัวของตัวเองซึ่งไม่มีโลกอื่น คนอื่นไม่มีความสลักสำคัญอะไรเลย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ที่ในความเป็นอื่นวนรอบตัวเขาอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งเขารู้สึกอะไรบางอย่างและเกิดคำถาม"
 
โลกประหลาดในประวัติศาสตร์ความเศร้า คือ นวนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่เล่าความเป็นไปของซอกมุมหนึ่งบนโลกนี้ แม้องคาพยพใหญ่จะถูกเคลือบด้วยสีสรรพ์แห่งโลกาภิวัฒน์ ทว่า ซอกมุมที่ศิริวรพูดถึง-เขียนถึงนั้นช่างน่าเศร้าและน่าสนใจไปพร้อมกัน แต่ก็เกินกว่าจะมีเสียงเล็ดลอดสู่ภายนอกได้ นอกจากตัวหนังสือที่เขาเขียนถึง


ที่มาเรื่องและภาพ : www.bangkokbiznews.com

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

เนื้อเพลงและความหมาย Clazziquai - Hold your tears (酷懶之味) - YouTube (English Version)


เนื้อเพลงและความหมาย Clazziquai - Hold your tears (酷懶之味) - YouTube (English Version) Story : ANCHALEE

ประทับใจและชอบใจเพลง Hold your tears ของ clazziquai มานานมาก ยิ่งฝนตกและฟังเพลงนี้ยิ่งได้อารมรณ์ มันทั้งเหงา เศร้า สุข ปนๆ กันไป เวอร์ชั่นนี้เป็นภาษาอังกฤษ ลองแปลความหมายดูเท่าที่ปัญญาพอจะมี ใจก็อยากได้ผู้รู้มาช่วยเติมแต่งความหมายให้ถูกต้องสละสลวยยิ่งขึ้น








เนื้อเพลงมีว่า 

Hold your tears Put your worries behind The time has come

กลั้นน้ำตาของคุณไว้ วางความทุกข์ไว้ข้างหลัง มันสมควรแก่เวลาแล้ว

To be with me So you can feel Show your smile

อยู่กับผม แล้วคุณจะรู้สึกได้ แสดงรอยยิ้มของคุณสิ

Put your worries behind Now take my hand

วางความทุกข์ของคุณไว้ข้างหลังเถอะนะ ตอนนี้จับมือผมไว้


And feel my heart So you can see

แล้วคุณจะรับรู้ความรู้สึกหัวใจของผม

And I wouldn't feel this way if I haven't fall in love

ผมจะไม่รู้สึกอย่างนี้ได้เลย หากผมไม่ได้ตกอยู่ในความรัก

Would you stay with me tonight (this night?)

อยู่กับผมเถอะนะคืนนี้

So there are no more goodbyes

และจะไม่มีการร่ำลาอีกแล้ว

Can you ever understand?

คุณเข้าใจที่ผมเคยพูดไหม?

And you're always on my heart

คุณจะอยู่ในใจของผมตลอดไป

Put your arms around my soul(un)till I get to you

โอบกอดจิตวิญญาณของผมไว้ จนกระทั่งผมเข้าไปแนบชิดคุณ
Dance now(hold your breath)

เต้นรำเถิด อดกลั้นไว้

Don't you cry

อย่าร้องไห้

Take my hand,hold your breath,the night is young

จับมือผมไว้ อดกลั้นไว้ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล

Hold your tears Put your worries behind

กลั้นน้ำตาของคุณไว้ ทิ้งความทุกข์ไว้ข้างหลัง

Take my hand And dance with me

จับมือผมไว้ และเต้นรำกับผม

So you can seee

แล้วคุณจะรับรู้ได้

Show your smile Put your worries behind

ยิ้มเถอะนะ ทิ้งความทุกข์ไว้ข้างหลัง


The night is young To be with me So you can feel

ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล อยู่กับผม แล้วคุณจะรู้สึกได้

Dance  now (hold your breath)Don't you cry

เต้นรำเถอะนะ อดกลั้นไว้ อย่าร้องไห้เลย

Take my hand,hold your breath, the night is young

จับมือผมไว้ อดกลั้นไว้ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล

Dance  now (hold your breath)Don't you cry

เต้นรำเถอะนะ อดกลั้นไว้ อย่าร้องไห้เลย

Take my hand,hold your breath, the night is young

จับมือผมไว้ อดกลั้นไว้ ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล

When it's time for us to part Don't you cry for me my love

ในเมื่อขณะนี้เรายังเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน อย่าร้องไห้เลยนะที่รักของผม

Our time together Please remember forever

เวลาของเราที่มีร่วมกัน โปรดจดจำมันไว้ให้นานแสนนาน

When your dream has come to end I will be waiting for you at last

เมื่อความฝันของคุณจบลง คุณจะเห็นผมรอคุณอยู่ตราบจนวินาทีสุดท้าย

To be with me so you can finally see

สุดท้ายเมื่อเราได้อยู่ด้วยกัน คุณจะได้รับรู้ทุกอย่าง



เกี่ยวกับ Clazziquai (คลาสสิไคว)

Classic + Jazz + Groove = CLAZZIQUAI

Clazziquai (คลาสสิไคว) คือโปรเจคท์กรุ๊ปที่ประกอบไปด้วยดนตรีหลากหลายแนว ทั้งอีเลคโทรนิกา, แอซิด แจ๊ส, เฮาส์ และ บอสซาโนวา โดยมีสมาชิกทั้งหมด 3 คน ได้แก่ Clazzi (หัวหน้าวง และนักแต่งเพลง), Horan (นักร้องหญิง) และ Alex (นักร้องชาย) ชื่อ Clazziquai เริ่มเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้นำเทรนด์ทั้งหลาย และเริ่มขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ผ่านเว็บไซด์อย่างเป็นทางการของพวกเขา www.clazziquai.co.kr ตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งพวกเขาทำเพลงออกมาเพียงไม่กี่เพลง เท่านั้น แถมยังเป็นเพลงสไตล์ชิลเอาท์เลาจ์ และเฮาส์มิวสิค ที่ตอนนั้นยังใหม่มากในเกาหลี มีเพียงศิลปินของ Shibuya-kei เท่านั้น ที่เคยทำคล้ายๆ แนวนี้มาก่อน

ก่อนที่จะออกอัลบั้มชุดแรก Instant Pig นั้น Clazziquai ก็ได้มีชื่อเสียงในหมู่คนรักดนตรี และศิลปินป๊อปที่โด่งดังในเกาหลีหลายต่อหลายคนแล้ว เขาได้ร่วมทำโปรเจคท์อัลบั้ม Walk around the corner ของป๊อปสตาร์ Yoo Hee Yeol และเพลงของเขาก็ได้ถูกนำไปใช้ประกอบโฆษณา และละครโทรทัศน์มากมาย



Image:Clazziquai-clazzi.jpg 
Clazzi
ชื่อจริง : คิมซองฮุน
เกิด : แคนนาดา , 1974


Image:Clazziquai-horan.jpg
Horan

ชื่อจริง : ชอยซูจิน
วันเกิด : 5 กรกฎาคม 1979
การศึกษา : Yonsei University, Pschology major




Alex 

Alex
ชื่อจริง : ชูฮุนกอน
วันเกิด : 2 กันยายน 1979
งานอดิเรก : ฟังเพลง , ดูหนัง , เล่นวีดีโอเกม , เล่นกีฬา

official Site : www.clazziquai.co.kr


ที่มาข้อมูลเกี่ยวกับ Clazziquai (คลาสสิไคว) : http://fanclub.hunsa.com/star/CLAZZIQUAI

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ดมได - ไดอารี่ของอุดม แต้พานิช / Udom Taepanich and his diary


ดมได - ไดอารี่ของอุดม แต้พานิช/Udom Taepanich and his diary
Story:R.ANCHALEE




คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีใครสุขหรือทุกข์ตลอดไป" เห็นจะเป็นจริงดั่งว่า เพราะแม้แต่คนที่ถูกมองว่าตลกที่สุด อย่าง อุดม แต้พานิช ก็ยังมีมุมที่ไม่ขำ คุณจะสัมผัสได้หากคุณได้อ่าน ดมได ของอุดม แต้พานิช  

ในหนังสือ  ดมได ของอุดม แต้พานิช เราจะได้เห็นเบื้องหลังฉากชีวิตจริงของอุดม แต้พานิช มุมที่ธรรมดาสามัญๆ ของอุดม อุดมไม่ได้ตลกตลอดเวลา (นั่นออกจะบ้าไปสักหน่อย) อุดมไม่ได้เข้มแข็งเสมอไป อุดมไม่ได้อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ บางอารมณ์อุดมต้องการความเป็นส่วนตัว บางอารมณ์อุดมไม่ต้องการรับแขก นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับวิสัยของมนุษย์ปุถุชน เพียงแต่คนไปวาดภาพลักษณ์ให้อุดมว่าเป็นอุดมจะต้องขำตลอดเวลา มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร? หากแต่ก็ไม่ผิดหากที่ใครจะคาดหวังว่าไอดอลแห่งความฮาของพวกเขาจะต้องยิ้มแย้มแจ่มใส รับแขกตลอดเวลา สรุปได้ว่า เกิดเป็นอุดมนั้นแสนลำบาก

หนังสือ ไดดม ไม่มีคำอธิบายทั้งปกหน้าและปกหลัง คำนำก็ไม่มี มีแต่ตัวหนังสือในบันทึกของอุดม
บันทึกของอุดมเริ่มตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2552 และสิ้นสุดวันที่ 8 เมษายน 2553 ในบันทึกเป็นเรื่องราวการใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆ ไปของอุดม บันทึกเรื่องของอุดมและคนที่มาเกี่ยวข้องกับอุดม รวมถึงบันทึกเบื้องหลังการทำงานของอุดม 

บันทึกการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว ที่อุดมเรียกว่าไป "เบิกเนตร" เบิกเนตรคืออะไร? เบิกเนตรของอุดมก็คือการได้เดินทางไปพบเจอสิ่งแปลกใหม่ เปิดหูเปิดตา เปิดโลกทัศน์ให้ตนเอง ส่วนใครจะเบิกเนตรตามเนตรของอุดมได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าลิ้นหัวใจของคนนั้นจะเปิดรับมากน้อยแค่ไหน บางคนอ่านแล้ว...จบไม่มีอะไรมากกว่าตัวหนังสือลอยๆ และภาพเบลอๆ
แต่บางคนอ่านแล้วก็อาจได้ข้อคิดแซมเล็กๆ น้อยๆ ประดับสมองประดุจดอกยิปโซในช่อไม้ใหญ่

แล้วเราจะซื้อหนังสือ ดมได เพื่อ? แน่นอนล่ะว่เหตุผลแรกที่คนจะตัดสินใจซื้อ ก็คือเอาฮา อยากฮาจึงซื้อหนังสือดมไดของอุดม เรียกว่าซื้อมาอ่านเพื่อความสบายใจ แต่ดมได เล่ม 450 บาท มันแพงเกินไปหน่อยไปสำหรับการสอดรู้สอดเห็นเรื่องของใครสักคน แต่ถ้าใครพอใจจะจ่ายเพื่อแลกกับรอยยิ้มเล็กๆ น้อยๆ ก็ตามอัธยาศัย

สรุป
หนังสือ ไดดมเล่มนี้ไม่มีอะไรนอกจากชีวิตและข้อคิดของอุดม แต่ใครที่ชื่นชอบอุดม อยากรู้เห็นความเป็นไปในแต่ละวันของอุดมจะซื้อหา ดมได มาดอมดมก็ไม่ผิดแต่อย่างใด เรื่องอย่างนี้อยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนครับท่าน






ชื่อหนังสือ  :   ดมได
ชื่อผู้เขียน     : อุดม แต้พานิช
สำนักพิมพ์   : ไม่ปรากฏ
ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่1 สิงหาคม 2554

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

9/11 นอม ชอมสกี (9/11-Noam Chomsky) - รำลึกครบรอบ 11 ปี เหตุการณ์ 9/11


9/11 นอม ชอมสกี (9/11-Noam Chomsky) - รำลึกครบรอบ 11 ปี เหตุการณ์ 9/11
เขียนและเรียบเรียง R:ANCHALEE 


วานนี้ 11 กันยายน 2555 มีการรำลึกการครบรอบ 11 ปีของเหตุการณ์ 9-11 เหตุถล่มตึกแฝดเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์สัญลักษณ์แห่งโลกการค้าเสรี ระบบทุนนิยมแห่งความมั่งคั่ง และมั่นคงของชาติมหาอำนาจอย่างอเมริกา



แม้ว่าบัดนี้ โอซามะ บินลาดิน จะถูกสังหารโดยกลุ่มจู่โจมนาวีซีล 79 รายในปฏิบัติการ เจอโรนิโม (Operation Geronimo) ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐอย่างหนักถึงความชอบธรรมในการปฏิบัติการครั้งนี้

 
อิริก มาร์โกลิส คอลัมนิสต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ให้ความเห็นว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยนำหลักฐานพิสูจน์ว่าโอซามา บิน ลาเดน อยู่เบื้องหลังเหตุการ 9/11 ออกมาสู่สาธารณะ” เหตุผลหนึ่งที่เป็นไปได้คือ “มีผลสำรวจออกมาว่าหนึ่งในสามของกลุ่มประชากรชาวอเมริกันเห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ และ/หรือ
อิสราเอลอยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรม 9/11″ ขณะที่ในโลกมุสลิมมีผู้สงสัยในเรื่องนี้มากกว่า อิริก ยังได้กล่าวต่ออีกว่า “หากมีการดำเนินคดีในสหรัฐฯ หรือที่กรุงเฮก (ศาลโลก) คงทำให้เรื่องนี้ถูกเปิดโปงสู่สาธารณะ” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงควรทำตามกฏหมาย

นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าแม้บิน ลาเดน จะถูกสังหารแล้ว แต่เขาก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากในสงครามที่เขาก่อกับสหรัฐฯ อิริก มารืโกลิสเขียนไว้ว่า “เขาได้ย้ำเสมอว่าวิธีการเดียวที่จะทำให้สหรัฐฯ ออกห่างจากโลกมุสลิมและเอาชนะเหล่าข้าหลวง (satraps-เป็นคำที่ใช้เรียกผู้ปกครองมณฑลของเปอร์เซีย) พวกนั้นได้คือการดึงให้สหรัฐฯ มาทำสงครามย่อมๆ แต่ราคาแพง จนทำให้พวกนั้นล้มละลายได้”


หนังสือ 9-11 ซึ่งออกตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2001 ผลงานนอม ชอมสกี (Noam Chomsky) นักคิดซึ่งเป็นที่รู้จักระดับโลก  และเป็นไปได้ทีเดียวว่าว่าหนังสือ 9-11ของ นอม ชอมสกี (Noam Chomsky) เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่มีอิทธิพลน่าเชื่อถือมากที่สุดในการรวบรวมเรื่องราวจากทั่วโลกเกี่ยวกับการโจมตีตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ ท่ามกลางความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความโศกเศร้า การฉวยโอกาสทางการเืมือง ความลงรอยกันของคนที่รักชาติถูกทำให้ระส่ำระสายในทันทีใดทันใดในเดือนถัดมาของการเหตุการณ์ก่อเหตุวินาศกรรม
 

บทบาทของ ชอมสกี ในบริบทของการวิจารณ์ได้รวบรวมไว้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับนโนบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ร่องรอยการรุกรานในประวัติศาตร์ของสหรัฐอเมริกา เช่น ในตะวันออกลาง ตลอดจนลาตินประอเมริกา อินโดนีเซียอาฟกานิสสถาน อินเดีย และปากีสถานด้วย

แต่กระนั้นสัญญาณการต่อต้านสหรัฐอเมริกา ที่กองทัพชอบคุยโตโอ้อวดและการใช้กำลังในการทำลายล้างเพื่อต่อต้านการจู่โจมของพวกผู้ก่อการร้าย และชอบจุดประเด็นความรุนแรงด้วยการออกสื่อต่อสาธารณะ สหรัฐจึจำเป็นต้องแสดงการต่อต้านความรุนแรงที่เกิดชึ้นทุกรูปแบบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนับวันจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการการสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก

นี่คือหนังสือ 9-11 ที่ได้รับการตีพิมพ์ใหม่ในวาระครบรอบ 10 ปีของการถล่มตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ คำนำใหม่โดย นอม ชอมสกี (Noam Chomsky) ซึ่งจะเป็นการย้ำเตือนความทรงจำในวันนี้ของพวกเราทุกคนเพื่อร่วมป้องกันการต่อต้านความรุนแรงของการก่อการร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต เพื่อไม่ให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งในประเทศของเราและในต่างประเทศต้องหลั่งเลือดอีกต่อไป

 

  • ชื่อผู้แต่ง    : Noam Chomsky
  • Language : English
  • จำนวนหน้า: 176 pages
  • สำนักพิมพ์ : Seven Stories Press;
  • พิมพ์ครั้งล่าสุด : Upd Exp edition (August 30, 2011)


ที่มาข้อมูลและภาพ : thaiaudio.wordpress
                            amazon.com


วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

๑๐๐ นิทาน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กำลังใจ - One hundred Wisdom Stories from around the world


Story:R.ANCHALEE๑๐๐ นิทาน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กำลังใจ - One hundred Wisdom Stories from around the world


๑๐๐ นิทานเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ และความงดงาม
 


"นี่คือหนังสือนิทานสำหรับผู้ใหญ่ และเป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าและงดงามที่สุดเล่มหนึ่ง 
อ่านได้ซ้ำไปซ้ำมาจนชั่วอายุขัย" The Readers Online Cafe'


เมื่อพูดถึงคำว่า "นิทาน" ทัศนคติของคนทั่วไปส่วนใหญ่จะคิดว่า หนังสือนิทานจำกัดอยู่เฉพาะเด็กๆ
แต่หาเป็นเช่นนั้นเสมอไป หากนิทานเหล่านั้นจะช่วยขัดเกลาจิตใจพวกผู้ใหญ่ให้งดงาม ใสซื่อราวกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง แล้วทำไมผู้ใหญ่จึงจะไม่คู่ควรกับนิทานเล่า?

การอ่านนิทานนอกจากช่วยขัดเกลาจิตใจแล้ว ยังช่วยให้เราได้ใช้จินตนาการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ในแต่ละวัน สังเกตหรือไม่ว่าเด็กๆ มักทำอะไรที่ทำให้พวกเราประหลาดใจเสมอ พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์อย่างที่เราพวกผู้ใหญ่คาดไม่ถึง เขาทำได้อย่างไร?นั่นก็เพราะว่าเขาไม่มีขอบจำกัดที่จะมาปิดกั้นจินตนาการอย่างไรเล่า หากเราอยากกลับไปสดใส และเพลิดเพลินสนุกสนานกับการใช้จิตนาการอย่างอีกครั้งเราจำเป็นต้องอ่านนิทาน

การอ่านนิทานยังทำให้เราได้ข้อคิด และได้มุมมองใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไปไม่ถึง หรือแม้แต่จะมาตักเตือนเราให้ตระหนักถึงเรื่องง่ายๆที่เรา "ขี้เกียจ" นึกถึง ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าพวกผู้ใหญ่มักมีอัตตาอยู่ในตัวทุกคน สำคัญตัวว่าเป็นผู้ใหญ่เผชิญโลกมามากจนเข้าใจสัจธรรมที่แท้จริงของชีวิตดีแล้ว คุณแน่ใจอย่างนั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นเหตุใดผู้ใหญ่ถึงไม่ค่อยมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น เหตุใดหนังสือกำจัดทุกข์ เสริมสร้างสุข จึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

นั่นแสดงว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความสุขจริงหรือไม่? พวกเขาจึงต้องหาหนังสือประเภทดังกล่าวมาอ่านจริงๆ แล้วเราอาจไม่ได้ต้องการปรัชญาเข้าใจยากๆ อะไรเลย เพื่อมาเตือนสติสั่งสอนเรา
นิทานนี่แหละที่จะให้ข้อคิดแก่เราได้ดีที่สุดแล้ว คุณคิดว่าไม่ดีหรือที่จะมีใครมาสะกิดเตือนใจเราในเรื่องง่ายๆ สักหน่อย พอให้ฉุกคิด ไม่ซับซ้อนอย่างที่เด็กๆ เขาคิดกัน แล้วทำไมจะต้องคิดอะไรง่ายๆ เหมือนเด็กๆ น่ะหรือ? ก็คุณเห็นหรือไม่ล่ะว่าเด็กๆ เขามีความสุขแค่ไหน และนิทานที่แหละที่จะทำให้คุณมีความสุขได้แบบนั้น จงอ่านมัน และใช้ชีวิตอย่างนั้นซะ!

[1]หนังสือ ๑๐๐ นิทาน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กำลังใจ เป็นการวบรวมเรื่องราวอันก่อให้เกิดความกระจ่างทางความคิด หรือที่เรียกว่า ปัญญาญาณ จากหลากหลายชนชาติ ทั่วทุกมุมโลก...โดยนำมาเล่าเรียงใหม่ในรูปแบบของนิทานเพื่อถ่ายทอดแง่คิดในการดำรงชีวิตที่งดงามด้วยปัญญา

ในเล่ม...ท่านจะพบกับนิทานสั้นๆ ที่จะต้องค้นหาบทสรุปบรรทัดสุดท้ายด้วยตัวของท่านเอง...ผ่านปลายปากกานักเขียน นักคิดชั้นนำของโลก อาทิ

-ลีโอ ตอลสตอย
-เปาโล โอเอลโฮ
-ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน
-อีสป
-อสสกา ไวล์
และ ฯลฯ

แล้วนิทาน...จะมิได้เป็นเพียงเรื่องเล่าเพื่อความเพลิดเพลินของชีวิตอีกต่อไป [1จากปกหลัง]

ในทุกค่ำคืนคุณอาจใช้เวลากับลูกน้อยๆ ของคุณโดยการเล่านิทานจากหนังสือ ๑๐๐ นิทาน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กำลังใจ วันละ 1-2 เรื่อง เพื่อเสริมสร้างจิตใจของเขาให้อ่อนโยน น่ารัก ดีงาม แม้ หนังสือ ๑๐๐ นิทาน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กำลังใจ จะเป็นนิทานสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องขบคิดสักหน่อยแต่คุณก็สามารถปรับแต่งพร้อมกับอธิบายถึงข้อคิดสอนใจในแต่ละบทให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพียงเท่านี้คุณก็จะมีนิทานเฉพาะสำหรับครอบครัวคุณเองแล้ว

หากคืนนี้คุณเริ่มง่วงนอนเมื่อไหร่ จงอ่านนิทาน
สักหนึ่งเรื่อง และหลับตาลง ขอให้คุณนอนหลับฝันดี....



ชื่อหนังสือ  : ๑๐๐ นิทาน ๑,๐๐๐,๐๐๐ กำลังใจ - One hundred Wisdom Stories from around   
the world
ชื่อผู้แปล     : นาริตะ
สำนักพิมพ์   :สำนักพิมพ์เรือนบุญ
ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่1 2548

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

เสิร์ฟมันฮา ประสาบริกร- สตีฟ ดับลานิกา ( Waiter Rant-Steve Dublannica)


Story : R.ANCHALEE เสิร์ฟมันฮา ประสาบริกร- สตีฟ ดับลานิกา ( Waiter Rant-Steve Dublannica)


 
                         เสิร์ฟมันฮา ประสาบริกร  Waiter Rant *The Waiter Steve Dublannica
 

หนังสือ เสิร์ฟ มัน ฮา ประสาบริกร  Waiter Rant เป็นผลงานของ สตีฟ ดับลานิกา ผู้ได้ชื่อว่าเป็น "ปากเสียงของของบริการสองล้านคนในสหรัฐอเมริกา" แอนโทนี่ บอร์เดน ผู้เขียนหนังสือ Kitchen Confidentcial ให้คำนิยมว่า "นี่คือคิทเช่น คอนฟิเดนเชี่ยล ฉบับหน้าร้านโดยแท้ ช่างสนุกร้ายกาจเป็นชีวิตบริกรที่เลือดตาแทบกระเด็น"
 
สตีฟ ดับลานิกา หรือ "เดอะ บริกร" เคยใฝ่ฝันอยากเป็นนักบวชตั้งแต่ยังเล็กแต่เมื่อเรียนจบกลับเปลี่ยนใจเข้าสู่วงการธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและบำบัดจิต แต่เกิดขัดแย้งกับเจ้านายของเขา  สตีฟ ดับลานิกา กลายเป็นคนตกงานในวัย 30 ปี สตีฟ ดับลานิกา ตัดสินใจทำงานเสิร์ฟระหว่างรองานประจำใหม่ แต่กลับเป็นว่าเขาทำงานเสิร์ฟอยู่ถึง 6 ปี ระหว่างนั้นเขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเขียนบล็อกแฉชีวิตเด็กเสิร์ฟ โดยใช้ชื่อบล็อกว่า Waiter Rant และปกปิดชื่อจริงนามสกุลจริงของเขาและใช้นามปากกาว่า "เดอะบริกร"( The Waiter) บล็อกของเขาได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนได้รับรางวัล งานเขียนเว็บบล็อกยอดนิยมประจำปี 2007(Bloggie Award for best writing of weblog) และพลิกชีวิตสตีฟให้กลายมาเป็นนักเขียนอาชีพ

เสิร์ฟ มัน ฮา ประสาบริกร  (Waiter Rant) เป็นหนังสือเล่มแรกของ สตีฟ ดับลานิกา และทันทีที่วางแผงก็ทะยานติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์ เขายังได้รับเชิญไปออกรายการโอปรา วินฟรีย์ พิธีกรรายการทอล์กโชว์ชื่อดังของอมเริกาอีกด้วย

เสิร์ฟ มัน ฮา ประสาบริกร  (Waiter Rant)
เป็นหนังสือเล่มเด่นในวงการเด็กเสิร์ฟจนถึงทุกวันนี้
สตีฟได้ถ่ายทอดประสบการณ์อาชีพบริกร ซึ่งเราน้อยคนนักที่จะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของอาชีพนี้อย่างแท้จริง พวกเรารับรู้แค่ว่าบริกรมีแค่หน้าที่นำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
อาชีพบริกรมีความกดดันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนที่นั่งทำงานในออฟฟิศหรู ไหนจะเป็นการสู้รบปรบมือกับพนักงานคนอื่นๆ ในร้าน ทั้งบริกรที่เหมาหยำเปมาทำงาน พนักงานต้อนรับขี้โมโห พ่อครัวเจ้าอารมณ์ ผู้จัดการที่จ้องจะเฉือดเฉือน และเจ้าของร้านที่หวาดระแวงตลอดเวลา และไหนจะเป็นความเพี้ยน ความเอาแต่ใจ ของลูกค้าที่เรียกว่ามีมาทุกรูปแบบ แต่ไม่ว่าลูกค้าจะมาแบบไหน บริกรอย่างสตีฟ ก็ต้องเอาให้อยู่หมัด

ความสนุกสนานของหนังสือ เสิร์ฟ มัน ฮา ประสาบริกร  (Waiter Rant) อยู่ตรงนี้เอง ตรงฉากที่เรามองไม่เห็นฉากของหลังร้านที่แสนจะวุ่นวาย เราซึ่งเป็นลูกค้าหรือผู้ใช้บริการมักจะไม่ใส่ใจกับพวกบริกรหรอกนะ เรารู้แค่ว่าถ้าอาหารมาช้าเมื่อไหร่ฉันจะบ่นเธอเมื่อนั้น อาหารรสชาติไม่ถูกปากเมื่อไหร่บริกรจะต้องถูกต่อว่าเป็นลำดับแรก ทั้งที่ความผิดอยู่ที่พ่อครัวอารมณ์บูดเพราะทะเลาะกับเมียเมื่อคืนก็เป็นได้ ความปวดเศียรเวียนเกล้าจากการจ้องจับผิดของเจ้าของร้านตลอดเวลา นี่มันเป็นอาชีพที่ต้องเผชิญกับมหากาพย์ความเครียดชัดๆ โดยไม่ต้องสงสัย และสตีฟก็ได้ถ่ายทอดอีกมุมหนึ่งจากฉากหลังของร้านอาหารออกมาให้พวกเรารับรู้อย่างกระจ่าง จนรู้สึกว่าคราวต่อไปถ้าไปใช้บริการร้านอาหาร "ฉันจะแคร์เธอ พวกบริกรให้มากกว่านี้นะ และฉันจะไม่ลืมให้ทิปเธอด้วย"

หนังสือ เสิร์ฟ มัน ฮา ประสาบริกร  (Waiter Rant) เป็นเรื่องราวกวนๆ ขำๆ ทั้งจากพนักงานในร้าน
และจากลูกค้าสุดเพี้ยนบางคน อ้อ! จะบอกว่าลูกค้าไม่ได้เป็นปกติทุกคนหรอกนะ บางครั้งบริกรอย่างเขาก็เจอกับพฤติกรรมสุดประหลาด
ของลูกค้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ่อยๆ

หนังสือ เสิร์ฟ มัน ฮา ประสาบริกร  (Waiter Rant) สนุกตรงที่สำนวนประชดประชัน เหน็บแหนมได้เจ็บจี๊ดหัวใจ ตลอดระยะเวลา 6 ปีของการทำงานในร้านอาหารของ สตีฟ ดับลานิกา ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้เผชิญเรื่องราวต่างๆ ทั้งสุข เศร้า เหงา ยินดี ไปพร้อมๆ กับเขาด้วย เป็นความผูกพันที่ก่อเกิดจากการอ่านหนังสือทีละหน้าทีละหน้า ใครที่ชื่นชอบเรื่องเล่าทำนองนี้ กับเป็นผู้ที่สนใจเรื่องอาหารก็ไม่ควรพลาดเล่มนี้ด้วยประการทั้งปวง

อ้อ! แต่ขอเตือนลูกค้าบางท่านก่อนนะว่า อย่าไปทำอะไรให้เหล่าบริกรไม่พอใจเป็นอันขาด มิฉะนั้นคุณอาจได้ทานเนื้อเบอร์เกอร์ที่พนักงานครัวตีไปตีมาบนพื้นเหมือนลูกฮอว์กกี้ก็เป็นได้ อันนี้ไม่ได้พูดเองนะครับ  สตีฟ ดับลานิกา เขาว่าไว้





ชื่อหนังสือ  : หนังสือ เสิร์ฟ มัน ฮา ประสาบริกร  (Waiter Rant)
ชื่อผู้แต่ง     : Steve Dublannica
ชื่อผู้แปล     : โตมร สุขปรีชา
สำนักพิมพ์   : สำนักพิมพ์ มติชน
ครั้งที่พิมพ์ : พิมพ์ครั้งที่1 กันยายน 2554

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ดาวโหลดฟรี ต่วย'ตูนพิเศษ ฉบับเดือนกันยายน

ดาวโหลดฟรี ต่วย'ตูนพิเศษ ฉบับเดือนกันยายน


 





-สิบของเล่นในประวัติศาสตร์โลก/นพ.กฤษดา ศิรามพุช

ของ เล่นต่างๆที่เลือกมาจากทุกมุมโลกให้ท่านผู้อ่านได้ยลนั้น ใช้เกณฑ์เลือกโดยดูจากของที่น่าสนใจมีสตอรี่ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์หรือไม่ ก็เป็นของบุคคลทั่วไป แต่ให้คุณค่าทางจิตใจ ดูแล้วน่ารัก แค่มองก็ทำให้ยิ้มได้ เพราะของเล่นไม่มีชั้นวรรณะ จะลูกเศรษฐีหรือลูกชาวบ้านก็เล่นด้วยกันได้ทั้งนั้น...ชิ้นไหนบ้างที่เป็น ของเล่นในประวัติศาสตร์ ห้ามพลาด!

-โรแดง ผู้หลงเสน่ห์ความเคลื่อนไหวของร่างกายมนุษย์/รศ.อัศนีย์ ชูอรุณ

ด้วย ความใส่ใจในลักษณะภายนอกของร่างกายเป็นพิเศษ เมื่อมีใครถามถึงวิธีการสร้างผลงานประติมากรรม โรแดงก็บอกว่า ”ประติมากรจักต้องเรียนรู้ที่จะจำลองแบบส่วนพื้นผิวของร่างกายมนุษย์ ซึ่งหมายถึงส่วนที่มีความสั่นไหวบนส่วนพื้นผิวของร่างกาย รวมถึงความรู้สึกด้านจิตวิญญาณ อารมณ์ ความรัก ชีวิตของมนุษย์ด้วย.....ดังนั้น ประติมากรรมจึงมีลักษณะเป็นเนินดินที่โพรงเล็กโพรงน้อย ไม่ได้มีผิวเรียบเนียน คือ ไม่ต้องแต่งผิวระนาบผลงานให้เรียบเนียน นั่นเอง”

-แก๊ซมรณะที่โภปาล/แสงเทียน

คืน วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2527 เป็นคืนที่สดใสท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว มันคือค่ำคืนแห่งเทศกาล ค่ำคืนแห่งความรื่นเริงเพราะผู้คนจำนวนมากไปชุนนุมกันตามจุดต่างๆในเมือง เพราะเป็นคืน "มุไชรา" เพื่อฟังเพลงและกาพย์กลอน กวีจะร่ายกลอนในภาษาอูรดูที่พรรณนาถึงความทุกข์และความสุข แห่งชีวิต ความตายและวิญญาณที่เป็นอมตะ และหามีใครรู้ชะตาไม่ หลังจากนั้นไม่กี่นาที มัชจุราชก็กางอุ้มมือเพื่อปลิดชีวิตพวกเขา

-ข่าวเด่นในรอบเดือน /ชาติวิบูลย์

พบ กับข่าวเด่นจากทั่วโลก... หลุมอุกาบาตใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดที่กรีนแลนด์ นาซ่าประกาศรายชื่อบริษัทผู้รับจ้างรับส่งมนุษย์อวกาศแล้ว พบฟอสซิลของป่าไม้ที่แอนตาร์กติก้า หุ่นยนต์สำรวจของนาซ่าไปลงบนดาวอังคารแล้ว ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสุดยอดมีปัญหาเสียแล้ว....

-สารบัญ

โรค ซอมบี้ ที่ทำคนเขมือบหน้าคน/นพ.กฤษดา ศิรามพุช – จอห์น แบปทิสต์ ค้นพบและศรัทธา/พันธุ์สุภา – เปิดประตูนรก/นพ.กฤษดา ศิรามพุช – เมื่อริชาร์ด เมียร์ ออกแบบโบสถ์และบ้าน/สวเรศ เกตุสุวรรณ – คนเพี้ยน แต่โชคดี/อุดร จารุรัตน์ – จาณักยะ มหารัฐบุรุษแห่งชมพูทวีป/สมประสงค์ น่วมบุญลือ – ถอดรหัสคำทำนายหายนะจากพีระมิด/ณัฐพล เดชขจร – เมื่อครั้งปีนังล่มสลาย/ไอแสค อาศิระ – ภักษา มายัน/โมไนย์ – เฮลเลนงามล้ำ นำสู่สงครามทรอย/ศงกีรติ บุญเจือ – ดยุคแห่งมาร์ลโบโร่/แดง ชารี – ความเชื่อผิดๆเรื่องอวกาศ/หมอเมืองสยาม – ดอกไม้ใหญ่ที่สุดในโลกศิริชัย อาชา – ล่าขุมทรัพย์ภูมิปัญญาชาวพุทธโบราณ/นายขยะ – ปรอท ธาตุศักดิ์สิทธิ์ฯ(จบ)/เตียวกง – อนุภาคพระพุทธเจ้า/ชัยวัฒน์ คุประตคุล – อวสานราชสำนักหมิง/เออร์ลี่โถว – คู่หูฟาร์มนรก/Cammy – ผจญภัยท้ามัชจุราช/นายฉงน – เดินหลงมิติ/ทวิชัย สุวพานิช – แม่ยางนาง/หลานคนเรือ



>>ดาวโหลดต่วย'ตูนพิเศษ ฉบับเดือนกันยายนได้ที่นี่<<


ที่มา : http://www.ebooks.in.th
          http://www.tuaytoon.com

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

เนื้อเพลงและความหมาย กังนัมสไตล์ 강남스타일 Gangnam Style - PSY


เนื้อเพลงและความหมาย กังนัมสไตล์ 강남스타일 Gangnam Style - PSY


เป็นกระแสฮอตฮิตในวงการเพลงเหลือเกินกับเพลงที่มีท่าเต้นยียวนกวนประสาท อย่างเพลง "กังนัมสไตล์"ของนักร้องตัวกลมๆอย่าง PSY ไซ โอป้า คำว่า "กังนัมสไตล์" มาจากคำว่า "강남 กังนัม" คือ คือชื่อถนนย่านธุรกิจสายหนึ่งในกรุงโซล เป็นถนนที่เรียกได้ว่า ย่านคนรวย เพราะจะมีแต่ร้านแบรนด์เนม รถหรูๆ คนมีสตางค์ มักจะมาเดินกันที่นี่ความหมายโดยรวมของเพลง กังนัมสไตล์ เป็นการพูดถึงคนรวยว่า ถึงแม้จะเป็นกังนัมสไตล์ แต่ก็รู้จักกาละเทศะ รู้ว่าเวลาใดเหมาะที่จะใช้ชีวิตอย่างไร เช่น เวลาสนุกก็สนุกให้เต็มเหวี่ยง อยากจะเซ็กซี่หรือก็เอาให้สุดๆ


PSY ไซ โอป้า กับท่าเต้นยียวนในเพลง กังนัมสไตล์


เราไปดูเนื้อเพลง กังนัมสไตล์ ในภาษาเกาหลี พร้อมคำอ่านภาษาไทย กันครับ


강남스타일 Gangnam Style - PSY

오빤 강남스타일 강남스타일
โอปัน กังนัมสไตล์ กังนัมสไตล์ 
낮에는 따사로운 인간적인 여자นาเจนึน ตาซาโรอุน อินกัน ชอกิน ยอจา
커피 한잔의 여유를 아는 품격 있는 여자คอฟฟี่ ฮันจันเน ยอยูรึล อานึน พุมคยอก อิสนึน ยอจา
밤이 오면 심장이 뜨거워지는 여자บัมมี โอมยอน ชิมจังงี ตือกอวอจีนึน ยอจา
그런 반전 있는 여자
คือรอน บันจอน อิสนึน ยอจา 
나는 사나이นานึน ซานาเอ
낮에는 너만큼 따사로운 그런 사나이นาเจนึน นอมันคึม ตาซาโรอุน คืรอน ซานาเอ
커피 식기도 전에 원샷 때리는 사나이
 คอฟฟี่ ชิกกีโด ชอนเน วันช็อต แตรีนึน ซานาเอ
밤이 오면 심장이 터져버리는 사나이บัมมี โอมยอน ชิมจังงี ตอ ชยอ บอรีนึน ซานาเอ
그런 사나이
คือรอน ซานาเอ 
아름다워 사랑스러워อารึมดาวอ ซารังซือรอวอ
그래 너 hey 그래 바로 너 hey
คือแร นอ  hey คือแร บาโร นอ
아름다워 사랑스러워อารึมดาวอ ซารังซือรอวอ
그래 너 hey 그래 바로 너 hey
คือแร นอ  hey คือแร บาโร นอ
지금부터 갈 데까지 가볼까
ชีกึมบูท่อ คัล เดกาจี คาบลกา 
오빤 강남스타일 강남스타일โอปัน กังนัมสไตล์,กังนัมสไตล์
오 오 오 오 โอ โอ โอ โอ 
오빤 강남스타일 ,강남스타일
โอปัน กังนัมสไตล์,กังนัมสไตล์

오 오 오 오 โอ โอ โอ โอ 
오빤 강남스타일 โอปัน กังนัมสไตล์
Eh- Sexy Lady
오 오 오 오 오빤 강남스타일
โอ โอ โอ โอ โอปัน กังนัมสไตล์

Eh- Sexy Lady
오오오오 โอ โอ โอ โอ
정숙해 보이지만 놀 땐 노는 여자จองซกเค โบอีจีมัน นล แตน โนนึน ยอจา
이때다 싶으면 묶었던 머리 푸는 여자อีแตดา ชิบพือมยอน มุกก็อตตอน มอรี พูนึน ยอจา
가렸지만 웬만한 노출보다 야한 여자กา รยอส จีมัน เวนมันฮัน โนชุลโพดา ยาฮัน ยอจา
그런 감각적인 여자
คือรอน คัมคักขอกกิน ยอจา 
나는 사나이นานึน ซานาเอ
점잖아 보이지만 놀 땐 노는 사나이ชอมชานา โบอีจีมัน นล แตน โนนึน ซานาเอ
때가 되면 완전 미쳐버리는 사나이แตกา ทเวมยอน วานช่อน มีชยอบอรีนึน ซานาเอ
근육보다 사상이 울퉁불퉁한 사나이คึนยูกโบดา ซาซังงี อุลตุงบุลตุงฮัน ซานาเอ
그런 사나이
คือรอน ซานาเอ 
아름다워 사랑스러워อารึมดาวอ ซารังซือรอวอ
그래 너 hey 그래 바로 너 hey
คือแร นอ  hey คือแร บาโร นอ
아름다워 사랑스러워อารึมดาวอ ซารังซือรอวอ
그래 너 hey 그래 바로 너 hey
คือแร นอ  hey คือแร บาโร นอ
지금부터 갈 데까지 가볼까
ชีกึมบูท่อ คัล เดกาจี คาบลกา 
오빤 강남스타일 강남스타일โอปัน กังนัมสไตล์,กังนัมสไตล์
오 오 오 오 โอ โอ โอ โอ 
오빤 강남스타일 ,강남스타일
โอปัน กังนัมสไตล์,กังนัมสไตล์

오 오 오 오 โอ โอ โอ โอ 
오빤 강남스타일 โอปัน กังนัมสไตล์
Eh- Sexy Lady
오 오 오 오 오빤 강남스타일
โอ โอ โอ โอ โอปัน กังนัมสไตล์

Eh- Sexy Lady
오오오오 โอ โอ โอ โอ
뛰는 놈 그 위에 나는 놈, baby baby
ตวีนึน นม คือ วีเอ นานึน นม, baby baby
나는 뭘 좀 아는 놈 ,뛰는 놈 그 위에 나는 놈นานึน มวอล ชม อานึน นม, ตวีนึน นม คือ วีเอ นานึน นม
baby baby, 나는 뭘 좀 아는 놈
baby baby, นานึน มวอล ชม อานึน นม 
You know what Im saying
오빤 강남스타일Eh- Sexy Lady
โอปัน กังนัมสไตล์ Eh- Sexy Lady
오 오 오 오 오빤 강남스타일โอ โอ โอ โอ โอปัน กังนัมสไตล์
Eh- Sexy Lady
오 오 오 오 오빤 강남스타일
โอ โอ โอ โอ โอปัน กังนัมสไตล์ 


 
คราวนี้เรามาดูคำแปลเพลง กังนัมสไตล์ กันนะครับ 

พี่น่ะกังนัมสไตล์ ,กังนัมสไตล์
ในตอนกลางวันเธอเป็นผู้หญิงที่อบอุ่น สดใส
เป็นผู้หญิงที่งดงามเมื่อเธอกำลังเอ็นจอยไปกับกาแฟถ้วยโปรดสักแก้วของเธอ
แต่พอยามราตรีมาถึง เธอกลับกลายเป็ยหญิงสาวที่หัวใจเร่าร้อน
เธอก็เป็นผู้หญิงแบบนั้นแหละ

ส่วนผมก็คือผู้ชายคนนึง
ผู้ชายที่ในตอนกลางวันก็อบอุ่นไม่แพ้กันกับเธอ
ผู้ชายที่สนุกกับการดื่มกาแฟให้หมดภายใน1ช็อตก่อนที่มันจะเย็น
แต่เมื่อยามราตรีมาถึง ผมก็จะกลายเป็นชายหนุ่มที่หัวใจระเบิดออกมา
ผมก็เป็นผู้ชายแบบนั้นนั่นแหละ

สวยงาม และน่ารักน่าเอ็นดู
นั่นแหละเธอ hey ใช่เธอเลย hey

สวยงาม และน่ารักน่าเอ็นดู
นั่นแหละเธอ hey ใช่เธอเลย hey
ออกไปสนุกด้วยกันตั้งแต่บัดนี้ไปจนจบกันเถอะ

พี่น่ะกังนัมสไตล์ ,กังนัมสไตล์
โอ โอ โอ โอ
พี่น่ะกังนัมสไตล์ ,กังนัมสไตล์
โอ โอ โอ โอ
พี่น่ะกังนัมสไตล์

Eh- Sexy Lady
โอ โอ โอ โอ พี่น่ะกังนัมสไตล์
Eh- Sexy Lady
โอ โอ โอ โอ

แม้ว่าเธอจะดูเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย แต่เมื่อถึงเวลาเล่นสนุก เธอจะเต็มที่กับมันสุดๆ
เธอจะปล่อยผมของเธอที่ถูกมัดเอาไว้อยู่ ในเวลาที่เธอต้องการ
แม้ว่าเธอจะสวมชุดที่ปกปิดมิดชิด แต่เธอดูเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่กว่าตอนใส่ชุดที่วาบหวิว
เธอก็เป็นผู้หญิงที่มีความคิดแบบนั้นยังไงล่ะ

ส่วนผมก็คือผู้ชายคนนึง
ผู้ชายที่แม้จะดูสุภาพ แต่พอถึงเวลาสนุกผมก็จะเล่นสนุกอย่างเต็มที่เหมือนกัน
ผมเป็นผู้ชายที่บ้าคลั่งอย่างเอาจริงเอาจังเมื่อถึงเวลาสมควร
ผมเป็นผู้ชายที่ให้ความสนใจเรื่องพุง มากกว่าสนใจที่จะมีกล้าม
ผมก็เป็นผู้ชายแบบนั้นนั่นแหละ

สวยงาม และน่ารักน่าเอ็นดู
นั่นแหละเธอ hey ใช่เธอเลย hey

สวยงาม และน่ารักน่าเอ็นดู
นั่นแหละเธอ hey ใช่เธอเลย hey
ออกไปสนุกด้วยกันตั้งแต่บัดนี้ไปจนจบกันเถอะ

พี่น่ะกังนัมสไตล์ ,กังนัมสไตล์
โอ โอ โอ โอ
พี่น่ะกังนัมสไตล์ ,กังนัมสไตล์
โอ โอ โอ โอ
พี่น่ะกังนัมสไตล์

Eh- Sexy Lady
โอ โอ โอ โอ พี่น่ะกังนัมสไตล์
Eh- Sexy Lady
โอ โอ โอ โอ

บินขึ้นไป ผมคือคนที่บินขึ้นไปบนฟ้า , baby baby
ผมคือคนที่รู้อะไรบางอย่าง, คือคนที่บินขึ้นไปบนฟ้า
baby baby, ผมคือคนที่รู้อะไรบางอย่าง
You know what I’m saying
พี่น่ะกังนัมสไตล์ Eh- Sexy Lady
โอ โอ โอ โอ พี่น่ะกังนัมสไตล์
Eh- Sexy Lady
โอ โอ โอ โอ พี่น่ะกังนัมสไตล์



เราลองมาดูมิวสิควีดีโอกันครับ ว่าท่าเต้นของนายตัวกลมคนนี้ จะยียวนกวนประสาทแค่ไหน เผื่อใครจะนำไปฝึกเต้นบ้าง จะได้ไม่ตกเทรนด์ยังไงล่ะึครับ










Credit by : http://aikooaumz.exteen.com

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน - วิชัย หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ตลกที่สุดในสามโลก

Story : R.ANCHALEE 



ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน - วิชัย หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ตลกที่สุดในสามโลก
 ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน  - วิชัย หนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ตลกที่สุดในสามโลก


ถ้ามีตั๋วเครื่องบินไป-กลับญี่ปุ่นในราคาแค่หมื่นกว่าบาท คุณจะซื้อไหม? คิดว่าส่วนใหญ่ที่พอมีสตางค์เก็บอยู่บ้างคงรีบตะครุบทันทีจริงไหม? ทำไมน่ะเหรอ? เหตุผลมีข้อเดียว  "ถูกโคตรอ่ะ" มันคือประเทศญี่ปุ่นเชียวนะ ไปกลับญี่ปุ่นแค่หมื่นกว่าบาททำไมจะไม่อยากไปล่ะ 

เราก็อยากไปจับมือกับอุลตร้าแมนตัวเป็นๆ อยากไปขอลายเซ็นต์อาโออิ อยากไปกินซูชิต้นตำรับ ไปนั่งหลับนอนหลับในออนเซ็น อยากไปเห็นภูเขาไฟฟูจิ อยากไปปดูสาวๆ คิขุที่ชิบุยะ อยากไปดูโนบิตะที่พิพิธภัณฑ์โดราเอมอน โอย..อีกสารพัดจะอยาก สารพัดเหตุผลที่ทำให้ใครต่อใครอยากไปเยือนญี่ปุ่นให้ได้สักครั้งในชีวิตนี้

หากดูในแผนที่มันก็ห่างกันแค่คืบเดียวนี่หว่า แต่ทำไมถึงไปยากไปเย็นนักหนา ปัจจัยหลักๆ ก็คงจะเป็นเรื่องค่าครองชีพที่สูงลิบลิ่ว นี่ยังไม่นับด่านขอวีซ่าญี่ปุ่นอีกนะ เห็นเขาว่ายากยิ่งกว่าด่านสิบแปดอรหันต์วัดเส้าหลิน (อันนี้ไม่เคยขอ ใครเคยมีประสบการณ์ขอวีซ่าไปญี่ปุ่น รบกวนมาแชร์ด้วย)

กระทาชายนายหน้าตี๋ ใส่แว่น รสจืด นามว่า วิชัย ก็ออกอาการประหวั่นพรั่นพรึงกับขอวีซ่าไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเหมือนทุกๆ คน เขาไม่แน่ใจว่า วีซ่าที่ขอไปจะผ่านหรือไม่ และไอ้ราคาตั๋วค่าเครื่องบินไป-กลับญี่ปุ่นหมื่นกว่าบาทเนี่ยแพงหรือเปล่า เขาเที่ยวถามใครต่อใครว่า "ราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับญี่ปุ่นหมื่นกว่าบาทถูกไหม?" แทนที่จะได้คำตอบ กลับมีคำถามกลับจากทุกคนว่า "ซื้อที่ไหน?" ก็แหมใครจะไม่ตาลุกวาว การได้ไปประเทศในฝันอย่างประเทศญี่ปุ่นในราคาแค่หมื่นกว่าบาทนั้นเป็นความฝันที่ใกล้เคียงความเป็นจริงของคนจนๆ อย่างเราที่สุดแล้ว

ว่าแล้ววิชัยและผองเพื่อนก็ออกเดินทางไปญี่ปุ่น โดยมีคติพจน์ประจำทริปนี้ว่า "หลง" และ "งง" เพราะเป็นกิริยาอาการ ลนลานเป็นกิจวัตรไม่มีการวางแผงการเดินทาง คิดเสียว่าไปตายเอาดาบหน้า ผลคือหลงมันทุกวัน และนี่ก็คงจะเป็นไฮไลท์สำคัญที่ทำให้หนังสือ ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน ไม่เหมือนกับหนังสือท่องเที่ยวญี่ปุ่นเล่มไหนๆ

หนังสือ ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน วิชัยยังคงสไตล์การเล่าเรื่องเป็นเอกลักษณ์เช่นเดิม ใครที่เคยอ่าน "สิ่งมีชีวิตในโรงแรม" และ "กรุณาอย่ารบกวน" มาแล้ว คงจะทราบดีว่าไอ้นายคนนี้มันตลกเป็นบ้า อ่านแล้วขำจนปวดไส้ปวดตับ เพียงแต่คราวนี้ฉากหลังไม่ได้เป็นโรงแรมแต่เป็นประเทศญี่ปุ่น

หนังสือ ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน เป็นบันทึกท่องเที่ยวญี่ปุ่นของวิชัย ตลอดทั้ง 9 วัน 9 คืน
ภายในเล่มได้บันทึกเรื่องราวการไปเยือนญี่ปุ่นของวิชัยไว้อย่างละเอียด ไม่ใช่มีเพียงแค่ภาพและคำบรรยายแค่หยิบพารากราฟ กอรปกับวิชัยเป็นคนช่างจดช่างจำ ช่างสังเกต และเป็นคนสนุกสนานร่าเริง เวลาเขาพบเจออะไรแล้วนำมาเล่าก็ขำจนปวดตับปวดไส้ไปหมด

อาทิ วันหนึ่งในทริปนี้ที่วิชัยสถาปนาให้เป็นวัน "หลงแห่งชาติ" และมีคำขวัญคือ "อย่าไว้ใจทาง อย่าถามทางสาวญี่ปุ่น" ยังไงน่ะเหรอครับ! คือว่าวิชัยและเพื่อนๆ วนเวียนอยู่แถวฮาราจูกุ ไปจนถึงชิบุยะมาทั้งวันแล้ว และอยากไปเดินที่ชินจูกุต่อแต่ไม่รู้จะไปอย่างไร ก็ต้องถามทางล่ะครับ ก็พะไปเจอกับหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่งเข้า...วิชัยเดินเข้าไป

[1(ตอนต่อไปนี้คัดมาจากหนังสือ ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน)]
วิชัย : ฮาว แคน ไอ โก ทู ชินจูกุ
เธอ : ........
เขา : .........

เอ่อ น้องๆ ครับ คือไม่ได้มีเจตนาจะมาขัดเวลาทำเท่น่ะครับ คือจะถามทางนิดนึงน่ะครับ บอกทางกูก่อน
แล้วพวกน้องจะขึ้นปก เธอกับฉัน กันต่อก็ไม่เป็นไรนะครับ แต่บอกทางกันนิดนึง ไม่เจ็บนะ ไม่เจ็บ

วิชัย : ชิน จู กุ (แล้วทำมือเดินๆ ไป)
เธอ : เอ๋อ๋อ๋อ๋อ๋ว์ ว์ ว์ ชิน จู้ กุ!!!!????
เขา : ซี้ดดดส์ เอ...โต

............น้องๆ เค้าทำท่าตกใจกันอย่างกับเพิ่งเคยได้ยินชื่อชินจูกุเป็นครั้งแรก พวกมึงอย่ามาฟอร์มแต่งตัวแบบนี้เดินชินจูกุบ่อยพอๆ กับเดินเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันแหละ
[1]

วิชัยเชื่อใจน้องทั้งสองคน เขาเดินไปตามทางที่หนุ่มสาวคู่นั้นบอก แต่เดินไปไฟยิ่งมืด ตึกยิ่งร้าง เอ๊ะ ชิบุยะย่านการค้ามันน่าจะคึกคักนี่หว่าวิชัยคิด แต่ที่นี่ทำไมร้างอย่างนี้ พอคิดได้ปุ๊บก็รู้ตัวว่าตัวเองหลงอีกแล้ว

การเดินทางในประเทศญี่ปุ่นโดยปราศจากการวางแผนไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เอาแค่ว่าจะขึ้นรถไฟสายไหน
ก็มึนตึ๊บแล้ว เพราะประเทศญี่ปุ่นจัดว่าเป็นประเทศที่มีสายรถไฟมากที่สุดในโลก! บางคนอาจจะคิดว่า ไม่เห็นจะยากก็อ่านป้ายเอาสิเขามีภาษาอังกฤษด้วยนะ ขอโทษเถอะครับคนญี่ปุ่นเองยังหลงขึ้นรถไฟผิด แล้วนับประสาอะไรกับคนไทยตาดำๆ ยิ่งถ้าหลงแล้วไม่ต้องถามใครเลย เพราะคนญี่ปุ่นเขาไม่ค่อยสื่อสารภาษาอังกฤษกัน ถ้าไปถามทางรถไฟอาจจะไปได้แค่สถานเดียวคือสถานี "อาโน...ไฮ้!!!"

ไอ้การเอ๋อๆ เดินหลงทางสะเปะสะปะนี่แหละที่ทำให้หนังสือ ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน เล่มนี้สนุกเป็นนักหนาเพราะคาดเดาไม่ได้เลยว่าทางที่พวกเขาเดินไปจะหลงอีกไหมเวลาอ่านก็จะรู้สึกสนุก เสมือนหนึ่งอยู่ในทริปด้วย

ใครที่มีแพลนไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น จะลองเอาอย่างวิชัยดูก็ได้นะครับ คือไปตายเอาดาบหน้า ไม่แน่คุณอาจเห็นญี่ปุ่นในมุมที่แปลกออกไปไม่เหมือนใคร และอย่าลืมฉวย ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน ไปด้วยล่ะ





ชื่อหนังสือ : ซากะ อาโออิ สิ่งมีชีวิตในเจแปน
ชื่อผู้แต่ง    : วิชัย
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์ a book
พิมพ์ล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2554