วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 Book Expo Thailand 2012


งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 Book Expo Thailand 2012
Story : R.ANCHALEE




นับถอยหลังได้แล้วนะครับ อีกเพียงไม่กี่วัน งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 Book Expo Thailand 2012 ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว โดยปีนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-28 ต.ค. 2555 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย

สำหรับคนที่รักการอ่านแล้วย่อมตั้งตารอ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ หรือ Book Expo Thailand กันทุกคน เพราะนอกจากจะมีหนังสือใหม่ๆ ที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ทยอยกันออกมาในช่วงนี้ บรรดาสำนักพิมพ์เหล่านี้ ยังขนหนังสือมาลดราคากันอีกเพียบ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย ทั้งการแลกเปลี่ยนเสวนา และการพบปะนักเขียนที่ชื่นชอบ ทำให้ทุกปีมีคนแห่ไป งานมหกรรมหนังสือระดับชาติกันล้มหลาม เป็นสัญญาณที่ดีของประเทศไทยว่า คนไทยนิยมอ่านหนังสือกันมากขึ้น และหวังว่า งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 Book Expo Thailand 2012 ครั้งนี้ จะมีผู้ร่วมงานมากกว่าทุกปี และในฐานะคนอ่านก็หวังว่าสำนักพิมพ์ทุกค่ายจะใจปล้ำเพื่อแฟนนานุแฟนทั้งหลาย อะไรที่พิเศษขนมาเถอะครับทั่น เราอยากบอกว่า เราเต็มใจรับเป็นอย่างยิ่ง 


                                                                                             เครดิตภาพ : matichon.co.th



สวนทางกับสำนักสถิติพบเด็กไทยอ่านหนังสือเพียง 39 นาทีต่อวัน!  

มีรายงานที่เป็นห่วงว่า สำนักสถิติแห่งชาติพบว่า การอ่านหนังสือของเด็กไทยจากเดิม 52 นาทีต่อวัน เหลือเพียง 39 นาที เนื่องจากเด็กและเยาวชน ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเล่นคอมพิวเตอร์และดูโทรทัศน์มากขึ้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ปี 2552-2561 เป็นทศวรรษแห่งการอ่าน เพื่อการพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน และรู้หนังสือ ภายในปี 2555 โดยได้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินการ ให้คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป สามารถอ่านออกเขียนได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 95 รวมถึงให้ค่าเฉลี่ยการอ่านหนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้นจากปีละ 5 เล่ม เป็น 10 เล่ม ขณะเดียวกัน ให้เพิ่มแหล่งการอ่านครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง และสร้างภาคีเครือข่ายเพื่อปลูกฝังการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่าง ยั่งยืนทุกรูปแบบ

2 เมษายน วันรักการอ่าน 

คณะกรรมการส่งเสริมการอ่านเพื่อเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ กำหนดให้วันที่ 2 เมษายน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผู้ทรงมีคุณูปการต่อวงการหนังสือไทย เป็น “วันรักการอ่าน” 

นิสัยรักการอ่านนี้จำต้องเริ่มปลูกฝังกันตั้งแต่ยังเด็กครับ เรื่องนี้พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนสำคัญมากในการจะช่วยวางรากฐานและปลูกฝังค่านิยมในการอ่านให้กับบุตรหลาน คุณต้องสอนเขาให้เห็นคุณค่าและประโยชน์นานัปการของการอ่าน และช่วยสนับสนุนบุตรหลานของท่านในทุกๆ ทาง อาทิ การจัดหาหนังสือให้ การใช้เวลาอ่านหนังสือกับลูกๆ และการพาไปเยือนห้องสมุด เป็นต้น เมื่อเขามีนิสัยรักการอ่านตั้งแต่เด็ก รับรองว่าโตขึ้นเขาจะต้องเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน ดังมีประโยคภาษาอังกฤษประโยคหนึ่ง กล่าวไว้สั้นๆ แต่ได้ใจความว่า  

 “Today a reader, tomorrow a leader.” - Margaret Fuller

เราก็ได้แต่หวังว่าสถิติการอ่านของเด็กไทยในปี 2555 นี้จะเพิ่มมากขึ้น ให้สอดคล้องและสมกับการที่กรุงเทพมหานคร ได้รับเลือกให้เป็น กรุงเทพฯ เมืองหนังสือโลกปี 2556 ครับ (Bangkok World Book Capital 2013)


ที่มาข้อมูล : http://blog.lib.kmitl.ac.th/

>>รวบรวมโปรโมชั่นจากสำนักพิมพ์ต่างๆ ในงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติครั้งที่ 17 (Promotion Book Expo Thailand 2012) อ่านได้ที่นี่ครับ..<<

Happy Birthday J.K. Rowling and Harry Potter! ทั่วโลกฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 31 ของแฮรี่ พอตเตอร์ - เดลี่พรอเฟ็ต


Happy Birthday J.K. Rowling and Harry Potter! ฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 31 ของแฮรี่ พอตเตอร์
สุขสันต์วันเกิด Harry Potter เด็กชายผู้รอดชีวิต


เดลี่พรอเฟ็ต หนังสือพิมพ์แห่งโลกพ่อมดแม่มดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด รายงานข่าว ฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 31 ของแฮรี่ พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา




รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 31 กรกฏาคม ปีนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่​ 31 ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ (เกิดวันเดียวเดือนเดียวกับเจเค​ โรว์ลิงค์)....ปัจจุบันแฮร์รี่ แต่งงานกับ จินนี่ (วีสลีย์) พอตเตอร์ และมีทายาทสามคน คือ เจมส์ ซิเรียส พอตเตอร์, อัลบัส เซเวอร์รัส พอตเตอร์, และ ลิลี่ ลูน่า พอตเตอร์......แฮร์รี่ทำงานเป็น​มือปราบมารให้กระทรวงเวทมนตร์หล​ังจากจบสงคราม โลกเวทมนตร์กลับมาสงบสุขโดยไม่ม​ีเจ้าแห่งศาสตร์มืดอีกต่อไป




สุขสันต์วันเกิด J.K Rowling!





วันที่ 31 กรกฏาคม เป็นวันเกิดของ โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง หรือที่เรารู้จักกันในนามปากกาว​่า เจเค โรว์ลิ่ง (เกิด 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2508) นักเขียนผู้สร้างวรรณกรรม แฮร์รี​่ พอตเตอร์ (เกิดวันเดียวกับเจเค).... เจเค ได้เริ่มแต่งหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ในปีค.ศ.1990 ขณะที่เธอนั่งรถไฟไปสถานีคิงส์ค​รอสในลอนดอน และเจ็ดปีต่อมาหนั...งสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มแรกได้ถูกตีพิมพ์ และภายหลังได้มีการนำไปสร้างเป็​นภาพยนตร์ โดยในปีค.ศ. 2011 ภาพยนตร์ตอนสุดท้ายได้ปิดฉากตำน​านและทุบสถิติโกยเงินวันแรกสูงส​ุด... เจเค โรว์ลิ่งได้ให้สัมภาษณ์อย่างเป็​นทางการว่าเธอจะไม่เขียนหนังสือ​แฮร์รี่ พอตเตอร์เพิ่มตอนต่อไป ...ในปี 2011 (ปัจจุบัน) เจเค โรว์ลิ่งมีโครงการเว็บไซต์ Pottermore ที่ทำขึ้นเพื่อแทนคำขอบคุณ และเพื่อตอบแทนแฟนๆที่ติดตามหนั​งสือแฮร์รี่ พอตเตอร์มาตลอดกว่า 10 ปี..










วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Jimbocho : Tokyo's Book Town จิมโบโช ย่านสวรรค์ของคนรักหนังสือ


Jimbocho: Tokyo's Book Town จิมโบโช ย่านสวรรค์ของคนรักหนังสือ
Story : R.ANCHALEE



จิมโบโช (Jinbocho) โตเกียว ย่านสวรรค์ของคนรักหนังสือ


สำหรับคนที่รักการอ่านแล้ว คงไม่มีอะไรจะสุขใจเท่ากับการได้อยู่ในดงหนังสือจริงไหมครับ?  และจะดีแค่ไหนถ้าทุกย่างก้าวที่เดินไปเต็มไปด้วยร้านหนังสือมากมายจนสุดลูกหูลูกตา วันนี้ The Readers Online Cafe จะพาคุณไปรู้จักกับย่าน จิมโบโช (Jinbocho) เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นครับ ที่นี่แหละ ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านสวรรค์ของคนรักหนังสือเชียวล่ะ






มีหนังสือทุกประเภท มากมายละลานตา


Jimbocho ย่านหนังสือชื่อดังของโตเกียว


ย่านจิมโบโช เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นย่านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นย่านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬา และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่ง





ร้านหนังสือในย่านจิมโบโช


กองหนังสือตั้งล้นออกมานอกร้าน



ร้านหนังสือในย่านจิมโบโช


จิมโบโชเป็นแหล่งขายหนังสือมือสองที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่ย่านจิมโบโชนี้เต็มไปด้วยหนังสือราคาถูก หนังสือแปลกๆ หายาก ถูกอกถูกใจบรรดานักสะสมยิ่งนัก แต่ทว่าหนังสือที่ขายในย่านนี้ส่วนใหญ่เป็นหนังสือภาษาญี่ปุ่น แต่ก็พอจะหาร้านหนังสือที่ขายหนังสือต่างประเทศได้อยู่บ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษครับ




ร้านหนังสือมือสองที่จำหน่ายหนังสือต่างประเทศก็พอมีอยู่บ้าง

ที่ย่านจิมโบโช ยังเป็นที่ตั้งของสำนักพิมพ์ ตัวแทนจำหน่ายหนังสือ ชมรมอนุรักษ์วรรณกรรมและหนังสือโตเกียวอีกด้วย




หนังสือแปลกๆ เก่าๆ หายาก ถูกอกถูกใจนักสะสม


ไฟไหม้ครั้งใหญ่


ย้อนกลับไปในปี 1913 เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ย่านจิมโบโช เพลิงได้เผาผลาญทำลายย่านนี้ราบเป็นหน้ากลอง มีตึกที่ได้รับความเสียหายกว่า 4000 หลังคา เพลิงยังได้ลุกลามไปติดป่าสนของพระราชวังอิมพีเรียลอย่างน่ากลัว


หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ผ่านพ้นไป ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์เล็กๆ ขึ้นที่ย่านนี้ บริษัทสำนักพิมพ์แห่งนี้ค่อยๆ เจริญเติบโต จนกลายเป็นหนึ่งในสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น นามว่า Iwanami Shoten จากนั้นก็ทยอยมีสำนักพิมพ์เปิดตามมาเรื่อยๆ มีออฟฟิศธุรกิจ ร้านหนังสือ และร้านกาแฟผุดขึ้นเกือบทุกหนทุกแห่ง ย่านจิมโบโชกลายเป็นย่านยอดนิยมสำหรับบรรดานักอ่าน






มาในปี 1920 ย่านจิมโบโชเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่า เป็นย่านรวมเหล่าปัญญาชน จนเป็นที่เกรงของรัฐบาลญี่ปุ่น ด้วยกลัวว่าจะแหล่งซ่องสุมพวกต่อต้านรัฐบาล จนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง ตำรวจลับของญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในนาม Kempeitai ก็เฝ้าจับตาย่านนี้อย่างใกล้ชิด


ทุกวันนี้ย่านจิมโบโช ยังคงเต็มไปด้วยสเน่ห์ ดึงดูดนักอ่าน ปัญญาชนทั้งหลายให้มารวมตัวกันเพื่ออ่านหนังสือ อภิปราย โต้วาทีกันอย่างสนุกสนาน ตามร้านกาแฟน่ารักๆ มีสเน่ห์ ที่มีอยู่มากมายหลายแห่งในย่านนี้



ร้านกาแฟน่ารักๆ มีสเน่ห์ ที่นักอ่านชอบมานั่งอ่านหนังสือ หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้




แหล่งขายอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ


จิมโบโช ยังเป็นย่านที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งรวมร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น มีร้านขายอุปกรณ์กีฬามากกว่า 50 ร้าน นอกจากนี้ยังมีร้านขายอุปกรณ์กีฬาเฉพาะทาง เช่น สโนว์บอร์ด และรองเท้าสกี ที่ถูกที่สุดในญี่ปุ่น เรียกว่า ถ้าอยากได้รองเท้าสกีดีๆ ราคาถูก ก็ต้องมาที่นี่ 



ร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่มีมากกว่า 50 ร้านในย่านนี้


สโนว์บอร์ด ราคาถูกต้องมาย่านนี้





แหล่งของนักชิม



เดินดูหนังสือเสร็จแล้ว แวะซดราเม็งซะหน่อย





จิมโบโช ยังเป็นแหล่งขึ้นชื่อสำหรับนักชิม เพราะราคาอาหารในร้านแถบนี้ถูกมากๆ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นบรรดาขาช็อป  และนักเรียน นักศึกษา ที่แห่กันมามากมายในแต่ละวัน และอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นราเม็งเจ้าอร่อยหลายๆ ร้านที่อยู่ในย่านนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านแบบยืนกินครับ 







ย่านแห่งมหาวิทยาลัย


จิมโบโช เป็นย่านที่เต็มไปด้วยมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากมายของประเทศญี่ปุ่น อาทิ 
มหาวิทยาลัยเมจิ, มหาวิทยาลัยโฮเซอิ, มหาวิทยาลัยโตโย งะกุเอ็น, มหาวิทยาลัยนิฮอน,
มหาวิทยาลัยเซนชู, มหาวิทยาลัยสตรีเคียวยุริทสึ, มหาวิทยาลัยจุนเทนโดะ และมาหวิทยาลัยชุโอะ



มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากมายอยู่ในย่านนี้


ที่ตั้งของย่าน จิมโบโช 




ย่านจิมโบโช ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวังอิมพีเรียล เมืองโตเกียว 




พาไปชมเสียทั่วย่้านจิมโบโช เห็นแล้วอยากไปกันไหมครับ เอาเป็นว่าใครมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น อย่าลืมไปเยือนย่านนี้เป็นอันขาด แล้วกลับมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ ...

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2


WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2


สงครามโลกครั้งที่ 2 กินระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณ 2,200 วัน นับตั้งแต่ ฮิตเลอร์สั่งกองทัพนาซีบุกโปแลนด์แบบสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg)  ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 สาเหตุมาจากฉนวนโปแลนด์(Polish Corridor) ซึ่งเยอรมนีเสียดินแดนส่วนนี้ให้แก่โปแลนด์ตามสนธิสัญญาแวร์ซาย์ และฉนวนโปแลนด์ยังแบ่งแยกดินแดนเยอรมนีเป็นสองส่วน คือส่วนปรัสเซียตะวันตกและปรัสเซียตะวันออก 

ฮิตเลอร์ ขอสร้างถนนผ่านฉนวนโปแลนด์ไปปรัสเซียตะวันออก อังกฤษและฝรั่งเศสคัดค้าน ฮิตเลอร์ จึงยกเลิกสัญญาที่เยอรมนีจะไม่รุกรานโปแลนด์ และทำสัญญาไม่รุกรานกับสหภาพโซเวียต อังกฤษและฝรั่งเศสจึงยื่นคำขาดได้เยอรมันถอนทหารออกจากโปแลนด์ เมื่อฮิตเลอร์ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งสองประเทศจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี

เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ประเทศคู่สงครามแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายอักษะ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลีและญี่ปุ่น ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย ต่อมาประเทศต่าง ๆ ก็เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนสงครามได้แผ่ขยายกลายเป็นสงครามโลก ในปี ค.ศ. 1942 

ช่วงต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลี) ได้บุกยึดยุทธภูมิสำคัญคือ รัสเซีย แอฟริกาเหนือ และแปซิฟิก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเกือบทุกแห่ง โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งได้รับชัยชนะมากที่สุดในการยึดครองจักรวรรดิแปซิฟิก

สำหรับสงครามในโลกตะวันออกนั้นเริ่มต้นขึ้นในราว ค.ศ. 1941 เมื่อญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ ในวันที่ 7 ธันวาคม ปี 1941 สหรัฐอเมริกาจึงประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันเยอรมนีและอิตาลีก็ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทั้งสองประเทศได้ทำสัญญาพันธมิตรกับญี่ปุ่น จึงเท่ากับเป็นแรงผลักดันให้สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเต็มตัว 


ฝ่ายอักษะเริ่มพลาดท่า หลังจากสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ ชายฝั่งแคว้นนอร์มังดี (Nomandy) ประเทศฝรั่งเศส วัน D-DAY ด้วยกำลังพลนับล้านคน เครื่องบินรบ 11,000 เครื่อง เรือรบ 4,000 ลำ วิถีของสงครามจึงค่อย ๆ เปลี่ยนด้านกลายเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบ 


สงครามในยุโรปยุติลงหลังกองทัพแดงยึดกรุงเบอร์ลินได้ และการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 แม้จะถูกโดดเดี่ยวและตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นยังปฏิเสธที่จะยอมจำนน กระทั่งมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สองลูกถล่มญี่ปุ่นที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ในวันที่ 6และ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 และการรุกรานแมนจูเรีย จึงได้นำไปสู่การยอมจำนนอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945

ผลของสงครามสร้างความสูญเสียใหญ่หลวงแก่มวลมนุษยชาติ ทิ้งเหลือไว้เพียงคราบน้ำตา และฝันร้ายที่ยากจะลืมเลือน

หนังสือ WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนังสือที่รวบรวมภาพเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 ของช่างภาพกว่าร้อยคน และจากสมรภูมิกว่าทั่วทุกมุมโลก โดย  ริชาร์ด โฮล์มส์ นักเขียนสารคดีมืออาชีพ บอกเล่าที่มาและลำดับภาพเหตุการณ์สำคัญตั้งแต่สงครามโลกประทุในปี ค.ศ. 1939 กระทั่งถึงการปราชัยของฝ่ายอักษะในปี ค.ศ. 1945 ภาพถ่ายได้บอกเล่าเหตุการณ์แต่ละช่วงปีอย่างชัดเจน ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก มากกว่าคำบรรยายใต้ภาพหลายเท่านัก บางภาพเราอาจจะคุ้นตา แต่ทว่าอีกหลายร้อยภาพยังไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน 


หนังสือ WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนังสือที่ทรงคุณค่าแก่การเก็บสะสม  ไว้เตือนใจเราถึงความโหดร้ายของสงคราม เพื่อไม่ให้พวกเราทุกคนเดินซ้ำรอยประวัติศาตร์อีกครั้ง...






ชื่อหนังสือ : WORLD WAR II IN PHOTOGRAPHS บันทึกภาพประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2
ชื่อผู้แต่ง    : RICHARD HOLMES
ชื่อผู้แปล : นพดล เวชสวัสดิ์
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์ มติชน
พิมครั้งล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 5


วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ห้องสมุดลับของฮิตเลอร์ (Hitler s Private Library) - Timothy W. Ryback




ห้องสมุดลับของฮิตเลอร์ (Hitler s Private Library) - Timothy W. Ryback เปิดคลังหนังสือของจอมเผด็จการผู้ "รักการอ่าน" เบ้าหลอมผู้นำนาซีที่คนทั้งโลกต้องตะลึง!









ก่อนเยอรมนีพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ฮิตเลอร์ได้ชื่อเป็นนักสะสมหนังสือตัวยง เขามีหนังสือในครอบครองถึง 16,000 เล่ม ในห้องสมุดลับมากกว่า 3 แห่ง ทั้งในเบอร์ลิน มิวนิค และบ้านพักตากอากาศต่างๆ มีทั้งแนวประวัติศาสตร์ ปรัชญา การเมือง กวีนิพนธ์ และวรรณกรรมคลาสสิก เช่น โรมิโอกับจูเลียต, กระท่อมน้อยของลุงทอม และดอน กีโฆเต้ เป็นต้น 

แต่หนังสือเหล่านี้ไม่ใช่แค่ของสะสม มันมีความหมายต่อความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม และการดำเนินชีวิตของอดีตผู้นำนาซีเสมือนเบ้าหลอมตัวตนอดอลฟ์ ฮิตเลอร์บนโลกใบนี้! ทิโมธี ดับเบิลยู. ไรแบค พาเราตามติดชีวิตฮิตเลอร์ผ่านหนังสือที่เขาอ่านในแต่ละช่วงชีวิต ตั้งแต่หนังสือที่อ่านในแนวหน้าระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงหนังสือเล่มสุดท้ายในบังเกอร์ก่อนฆ่าตัวตายในสงครามโลกครั้งที่ 2

นี่คือชีวประวัติแนวใหม่ของจอมเผด็จการฮิตเลอร์ในฐานะหนอนหนังสือ เพียบพร้อมด้วยข้อมูลชวนตะลึงที่โลกไม่เคยรู้มาก่อน






ชื่อหนังสือ : ห้องสมุดลับของฮิตเลอร์ (Hitler s Private Library)
ชื่อผู้แต่ง    : Timothy W. Ryback
ชื่อผู้แปล    : โรจนา นาเจริญ

หอบลูกเที่ยวฮ่องกง - ลินดา โกมลารชุน

Story:R.ANCHALEE 

 

หอบลูกเที่ยวฮ่องกง - ลินดา โกมลารชุน


ประเทศอะไรเอ่ย ไปง่ายยิ่งกว่าไปสายใต้ใหม่? คำตอบ คือ คือ คือ... "ฮ่องกง" ถูกต้องนะคร๊าบบบ! มันไปง่ายเสียจนคนเขาว่ากันว่า  เศรษฐีบางคนถึงกับบินไปกลับกรุงเทพ-ฮ่องกง เพียงเพื่อจะไปกิน หมูย่าง!  โอว..อะไรจะขนาดนั้น แต่มันคือเรื่องจริงครับทั่น ก็แหม..ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง เครื่องบินก็ร่อนลงจอด สนามบินนานาชาติฮ่องกง Hong Kong International Airport (HKIA) หรือ Chek Lap Kok Airport) แล้ว เรียกว่านั่งตูดยังไม่ทันร้อนก็ต้องลงเสียแล้ว

แม้ฮ่องกงจะเป็นเกาะเล็กๆ และดูเหมือนมันจะไม่มีอะไร จนใครที่คิดจะไปฮ่องกงมักโดนตั้งคำถามว่า  "ไปทำ เฟี้ย อะไรวะที่ฮ่องกง ไม่เห็นจะมี ข่า อะไรเลย!!" แต่เชื่อเถอะครับทั่น ว่า "มันมีอะไร" มิเช่นนั้น ฮ่องกง จะเป็นประเทศยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปกันมากที่สุดได้หรือ 

ด้วยความที่วัฒนธรรมของเขาใกล้เคียงกับของเรา ทำให้เวลาเดินไปไหนมาไหนที่ฮ่องกงแล้วรู้สึกคุ้นเคย สบายอกสบายใจ ที่สำมะคัญคือ มีอาหารอร่อยๆ ให้ลิ้มลองเพียบ นี่ยังไม่รวมของดีของถูก (ถ้ารู้แหล่ง) ที่มีให้ช็อปมากหลาย ก็ไม่แปลกใจที่ฮ่องกงจะถูกใจวัยรุ่นพี่ไทยอย่างเราๆ นี่ยังไม่รวมโปรแกรมทัวร์ยอดนิยมสักการะพระ เจ้าแม่ที่เกาะฮ่องกงนะ อันนั้นถูกใจเหล่าบรรดา อาซิ้ม อากง อาม่า เขานักล่ะ

แล้วไปฮ่องกงเป็นครอบครัว จะมีที่ไหนให้เที่ยวไหม? ขอตอบว่า มี ครับทั่น หนังสือ "หอบลูกเที่ยวฮ่องกง" ให้คำตอบเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี หนังสือ "หอบลูกเที่ยวฮ่องกง" โดย ลินดา โกมลารชุน เป็นหนังสือ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะฮ่องกงที่เหมาะกับครอบครัว ที่จะกระเตงพาลูกๆ ไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ของฮ่องกง ซึ่งอัดแน่นครบทุกอรรถรส ทั้งเที่ยว ชม ชิม ช็อป จัดเต็มด้วยเนื้อหาและภาพประกอบสวยงามตลอดทั้งเล่ม เก็บเกี่ยวในทุกบรรยากาศของสุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตในฮ่องกง เหมาะสำหรับการไปเที่ยวเป็นครอบครัว ในเล่มยังสอดแทรกการเรียนรู้นอกห้องเรียนของเด็กๆ และที่สำคัญสร้างสายใยความผูกพันที่แข็งแรงในครอบครัว

วางโปรแกรมไว้เนิ่นๆ วันหยุดยาวหน้า...หนีบลูกๆ ไปพักผ่อนที่ฮ่องกง และอย่าลืมเอาหนังสือ "หอบลูกเที่ยวฮ่องกง" ไปเป็นไกด์บุ๊กด้วยนะครับ ไม่เลวใช่ไหมล่ะ





ชื่อหนังสือ :  หอบลูกเที่ยวฮ่องกง 
ชื่อผู้แต่ง    : ลินดา โกมลารชุน
สำนักพิมพ์  : สำนักพิมพ์วงกลม

พิมพ์ครั้งล่าสุด : พฤษภาคม 2555

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สิบอันดับหนังสือขายดีระดับโลก

สิบอันดับหนังสือขายดีระดับโลก

แต่ละวันมีหนังสือมากมายที่ออกมาจากแท่นพิมพ์พร้อมออกมาสู่สายตาผู้อ่าน มีผลงานหลายเรื่องกลายเป็นอีบุ๊กรอให้โหลดมาอ่านโดยไม่ต้องพกหนังสือ เอาเข้าจริงๆ แล้วท่ามกลางตัวอักษรล้นทะลัก มีหนังสือไม่มากนักหรอกที่ทั้งโลกจะรู้จักและติดอันดับขายดิบขายดีตลอดกาล


หนังสือ 10 อันดับต่อจากนี้ Business Insider ยืนยันว่าเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน โดยวิเคราะห์อ้างอิงจากจำนวนยอดพิมพ์และจำหน่ายทั่วโลกในรอบ 50 ปี




อันดับ 1 "The Holy Bible" 
หรือพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาคริสต์ นอกจากจะเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดแล้วด้วยตัวเลข 3,900 ล้านเล่มแล้ว ยังเป็นหนังสือที่แปลเป็นภาษาต่างๆ มากที่สุดในโลกประมาณ 340 ภาษาอีกด้ว นอกจากไบเบิลจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในโลกเล่มหนึ่งแล้วจึงมีความหมายทางจิตใจอย่างยิ่งและเป็นหนังสือที่ถูกมอบเป็นของขวัญให้กันอยู่เสมอ



อันดับ 2 "Quotations from Chairman Mao Tse-tung" หนังสือเล่มนี้แปลเป็นภาษาไทยในชื่อว่า "คติพจน์เหมาเจ๋อตุง" ในช่วงปี พ.ศ.2509-2514 หนังสือแดงฉบับจิ๋วของประธานเหมาฯเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ชาวจีนทุกคนจะต้องมีไว้ในครอบครองคนละเล่ม โดยมีนัยยะสำคัญคือเพื่อหลอมทัศนคติของผู้อยู่ใต้การปกครองให้ไปในทิศทางเดียวกัน ถึงแม้ว่าวันนี้ม่านไม้ไผ่จะเปิดกว้างต่อโลกภายนอกอย่างเต็มที่ และประเทศจีนก็เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ทว่าอิทธิพลของหนังสือยังคงหลงเหลืออยู่ และกลายเป็นหนังสือติดบ้านของผู้คนในประเทศที่มีประชากรเป็นอันดับ 1 ของโลกด้วยตัวเลข 820 ล้านเล่ม


อันดับ 3 "Harry Potter" 
นวนิยายแฟนตาซีผจญภัยในดินแดนแห่งเวทมนตร์จำนวน 7 เล่ม ที่ร่ายเวทย์โดย "เจ. เค. โรว์ลิ่ง" แฮรี่ พอตเตอร์ สร้างปรากฏการณ์มากมายสารพัดในระยะเวลาอันรวดเร็ว อาทิ เล่มแรกได้รับการแปลเป็นภาษากรีกโบราณ ซึ่งถือเป็นงานเขียนในภาษากรีกโบราณที่ยาวที่สุดนับแต่นวนิยายของเฮลิโอโดรัสแห่งอีเมซาในคริสต์ศตวรรษที่ 3, ทำให้นิวยอร์ก ไทมส์ตัดสินใจเปิดอันดับขายดีอีกหนึ่งประเภทคือวรรณกรรมสำหรับเด็กขึ้นโดยเฉพาะ, เจ.เค.โรว์ลิงกลายเป็นนักเขียนคนเดียวที่ติดอันดับมหาเศรษฐีโลก รวมถึงเป็นชุดหนังสือที่มียอดขายกว่า 500 ล้านเล่มทั่วโลกด้วย



อันดับ 4 "The Lord of the Rings" มหากาพย์ไตรภาคแห่งการผจญภัยโดย "เจ. อาร์. อาร์ โทลคีน" ศาสตราจารย์ภาษาศาสตร์และศาสนาชาวอังกฤษ นิยายเรื่องนี้ได้แปลไปเป็นภาษาต่างๆ กว่า 38 ภาษา พร้อมยอดขาย 103 ล้านเล่ม และได้รับยกย่องให้เป็นนิยายที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 20


อันดับ 5 "The Alchemist" โดย "เปาโล คูเอลญู" ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดยนักเขียนศรีบูรพาคนล่าสุด "ชัยวัฒน์ สถาอานันท์" ในชื่อ "ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน" เป็นเรื่องราวการเดินทางออกค้นหาขุมทรัพย์ของซานติเอโก ระหว่างการเดินทางเด็กหนุ่มได้เรียนรู้ที่จะรู้จักตัวเองและรู้จักความฝันที่กำลังไขว่คว้า ไม่แปลกที่นิยายเรื่องนี้จะจับใจคนที่กำลังมีความฝันและคนที่เคยละทิ้งความฝันจนมียอดขาย 65 ล้านเล่มทั่วโลก



อันดับ 6 "The Da Vinci Code" นิยายท้าทายคริสตจักรโดยนักเขียนชาวอเมริกัน "แดนน์ บราวน์" ที่หอบตัวเลข 57 ล้านเล่มมาพร้อมกับทั้งดอกไม้และก้อนอิฐ

อันดับ 7 "Twilight - The Saga" โดย "สเตฟานี่ เมเยอร์" สาวๆ คงกรี๊ดเพราะความดังที่สร้างปรากฏการณ์ความรักระหว่างแวมไพร์ มนุษย์หมาป่า และสาวสวย ให้เกิดเป็นพล็อตซ้ำๆ ขึ้นได้กับอีกหลายๆ สื่อจนถึงวันนี้นั่นล่ะ ยอดขายคือ 43 ล้านเล่มทั่วโลก

อันดับ 8 "Gone With the Wind" นวนิยายอมตะสุดคลาสสิกแนวดราม่า-โรมานซ์ ผลงานเล่มแรกและเล่มเดียวของ "มาการ์เร็ต มิเชล" ที่แม้จะเขียนขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2479 แต่ก็สามารถเบียดรุ่นลูกรุ่นหลานครองใจคนรุ่นปัจจุบันได้ด้วยตัวเลข 33 ล้านเล่ม อาจเพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเรื่องความรัก-ความพลัดพรากก็ยังคงเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เล่มนี้แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ "วิมานลอย" 


อันดับ 9 "Think and Grow Rich" โดย "นโปเลียน ฮิลล์" ชื่อหนังสือภาษาไทยสรุปเรื่องได้ชัดมากคือ "คิดอย่างไรให้รวย" ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์วิกฤตการเงินโลก โดยนำเทคนิคจิตวิทยามาสร้างหลัก 13 ข้อเพื่อนำตัวเองสู่ความสำเร็จทางความมั่งคั่ง เขียนตั้งแต่ปี พ.ศ 2480 แต่เรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ไม่มีเรื่องเวลามากำกับก็ทำให้มียอดขาย 30 ล้านเล่ม

และอันดับสุดท้าย "The Diary of Anne Frank" เรื่องจริงของสาวน้อยที่ตกเป็นเหยื่อของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่2 ก็ยังคงจับใจคนทั่วโลกอยู่เสมอพร้อมยอดขาย 27 ล้านเล่ม
       

สิบอันดับของหนังสือขายดีระดับโลกที่สะท้อนให้เห็นชัดเลยว่า ความรัก ความฝัน ความหวัง ความร่ำรวย และความศรัทธา คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการมากที่สุด มันคืออะไร

ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ -Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh

นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ -Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehughs Story : R.ANCHALEE





คุณจำความรู้สึกที่ได้ฟังนิทานก่อนนอนได้ไหม? "กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วสินะ" ความทรงจำนั้นของเราลางเลือนเต็มที แต่ก็ไม่ถึงกับลางเลือนจนเบียดบัง ความรู้สึกสนุก ตื่นเต้น เพลิดเพลิน เมื่อหวนย้อนไปถึงยามที่เราได้ยินได้ฟังนิทาน ตอนเป็นเด็กเรามีความสุขกับอะไรง่ายๆ แค่นี้เอง แค่มีคนมาเล่านิทานให้เราฟัง

แต่พอโตขึ้นเหมือนว่ามาตรฐานความสุขของเราจะสูงขึ้นตามไปด้วย อะไรที่เคยสุขได้ง่ายๆ ในวันนี้ชักจะไม่ง่ายเรารอคอยปัจจัยอะไรก็ตามแต่ที่เราคิดไปว่า เมื่อมีมันเราถึงจะมีความสุข ความสุขกลายเป็นเรื่องต้องอาศัยปัจจัยเร้าจากภายนอก ทั้งๆ ที่ความสุขที่แท้แล้วอยู่ที่ใจเรานี่เอง แล้วมีเคล็ดลับอะไรที่จะทำให้เรามีความสุขจากที่ใจ ง่ายๆ ก็แค่ ต้องรู้จักรักตนเองให้เป็น


แต่การจะยอมรับตัวเอง รักตัวเอง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตนเองนั้น บางครั้งก็ต้องอาศัยคนมาสะกิดเราอยู่เหมือนกัน สะกิดแรงก็โกรธไม่รับฟัง แต่ถ้ามาสะกิดเบาๆ เอาใจเข้าแลก เราก็มีแนวโน้มว่าจะรับไว้ นิทานจึงเหมาะที่จะนำมาสอนใจกับผู้ใหญ่ประเภท "ไม้แก่ดัดยาก" เพราะนิทานเต็มไปด้วยความอ่อนโยน น่ารัก ดีงาม จึงมีแนวโน้มว่าเราจะเชื่อฟัง โดยปราศจากการต่อต้าน แข็งขืน 

หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ เป็นหนังสือที่มีนิทานน่ารักๆ อยู่ทั้งสิ้น 21 เรื่อง  คู่แม่ลูก Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh ร่วมกันเขียน หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่ ขึ้นโดยดัดแปลงจากนิทานที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อาทิ ลูกหมูสามตัว ซินเดอเรล่า หนูน้อยหมวกแดง และอีกหลายเรื่องนำมาเล่าในมุมใหม่ที่ต่างออกไป แฝงด้วยความตลกขบขัน 


เช่น การยกเอาเรื่องซินเดอเรล่ามาเล่าให้เห็นอีกมุมหนึ่ง มุมโกรธ เกลียดชัง ขมขื่น เหมือนมนุษย์ทั่วไป เธอขมขื่นจากการตายของพ่อแม่ และรู้สึกกล้ำกลืนที่ต้องอยู่กับแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสอง ซึ่งในความเป็นจริงแม่เลี้ยงและพี่สาวก็ดีต่อเธอ แต่ด้วยความขมขื่นในใจ ทำให้ภาพลักษณ์ที่ซินเดอเรล่ามีต่อแม่เลี้ยงและพี่สาวเป็นโหดร้ายไป  แต่เมื่อวันหนึ่งซินเดอเรล่าได้รู้ซึ้งเห็นใจแม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองของเธอโดยปราศจากอคติ เธอก็ได้เห็นภาพลักษณ์แม่เลี้ยงและพี่สาวทั้งสองของเธอในมุมใหม่ ทำให้เธอได้ตระหนักว่าที่แท้ที่ผ่านมาเธอไม่ยอมรับตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าตัวเองต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่ใคร นั่นทำให้เธอเลิกแสวงหาการยอมรับจากผู้อื่น และรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จนเลือกที่จะคิดและทำแต่สิ่งดีให้ตัวเอง

นอกจากความน่ารัก สนุกสนาน  ที่ได้จาก หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่  เล่มนี้แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อคิดสอนใจ ข้อคิดที่สอนให้เรารู้จักรักตนเอง และนำไปสู่การเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าความสุขและชีวิตที่ดีกว่าย่อมตามมา และผลกำไรที่เกิดจากความสุขใจที่เริ่มต้นจากตัวเรา ก็จะเหมือนการโยนหินลงไปในบึงน้ำวงน้ำนั้นก็จะแผ่ขยายกว้างไกลออกไป เหมือนความรักความสุขของเราที่แผ่ไปยังคนใกล้ตัวคนในสังคม และประเทศชาติ ไม่มีที่สิ้นสุด คุณเริ่มเห็นภาพ "สังคมที่น่าอยู่" ขึ้นมาแล้วบ้างแล้วใช่ไหม อยากให้ 'ผู้ใหญ่' ได้อ่าน หนังสือ นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่  เล่มนี้กันทุกคน 


...ขอให้ 'ผู้ใหญ่' ทุกคนนอนหลับฝันดีทุกคืน





ชื่อหนังสือ : นิทานก่อนนอนสอนผู้ใหญ่
ชื่อผู้แต่ง    : Sue Gallehugh, Ph.D. และ Allen Gallehugh
ชื่อผู้แปล    : วิลาวัณย์ อเนกมุจลินท์
สำนักพิมพ์  : สำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success

เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success



เคยเห็นใช่ไหมครับทั่น? คนที่สามารถตัดตะเกียบด้วยกระดาษทิชชู่ หรืองอช้อนได้ อันนี้ยังเด็กๆ เขาว่ากันว่า พวกที่พลังจิตแก่กล้าสามารถย่นระทาง หายตัว และทำให้คงกระพันได้ด้วย?! คนเหล่านี้เขาทำได้อย่างไร หนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success จะเปิดเผยให้ท่านทราบ ณ บัดนี้แล้ว แต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า


ศาสตร์แห่งพลังจิตคืออะไร? ศาสตร์แห่งพลังจิตก็คือ ศาสตร์แห่งธรรมชาติที่มีค้นพบกันมานานนมแล้วครับ  เป็นการเรียนรู้ฝึกจิตขึ้นโดยบังเอิญ ยุคต่อๆ มาได้มีการคิดค้นศึกษา ถ่ายทอด และพัฒนากันอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
 
พลังงานแห่งจิเป็นเรื่องของ จิตวิทยา (Psychology) สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เรียกว่า วิทยาศาสตร์ทางจิต (Mind Science) ซึ่งพลังจิตนี้สามารถปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวการณ์ต่างๆ ได้ เช่น จิตที่สงบนิ่งมีสมาธิสามารถแปลงสสารให้เปลี่ยนเป็นพลังงานได้ จิตที่สงบมีสมาธิสามารถส่งกระแสคลื่นพลังงานแห่งจิตไปสู่บุคคลที่สอง และบุคคลที่สามได้ 


มีเรื่องเล่าว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศรัสเซียเคยทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องพลังจิตอย่างจริงจัง และนำมาใช้ประโยชน์ในทางทหาร โดยเฉพาะการสอบเค้นความจริงจากพวกสายลับ และเชลยศึกที่จับได้ด้วยการสั่งจิต และ ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศแรกในโลกที่มีการเปิดโรงเรียนสอนศาสตร์แห่งพลังจิตอย่างเป็นทางการ ต่อมาสหรัฐอเมริกาก็ได้เปิดสถาบันสอนวิชาการสั่งจิตและการสั่งจิตบำบัดโรคอย่างเป็นทางการเช่นกัน


แล้วการสั่งจิตคืออะไร? ง่ายๆ ครับท่าน การสั่งจิต ก็คือ การทำให้จิตสำนึกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากระบบการทำงานตามปกติ ปรับสภาวะจิตจากความว้าวุ่น สับสน ไปสู่สภาวะที่นิ่งสงบ ผ่อนคลาย ในขณะที่จิตสำนึกกำลังนิ่งสงบอยู่นั้น จิตใต้สำนึกก็จะทำหน้าที่แทนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งการสั่งจิตนี้จะเป็นการเปิดระบบของการรับรู้จดจำได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และพร้อมปฏิบัติตามสิ่งเร้าที่มากระทบ ตามปกติแล้ว จิตสำนึก (Conscious Mind) และ จิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) มีการทำหน้าที่แตกต่างกันอย่างอิสระ จำสำนึกคือจิตที่อยู่ในสภาวะแห่งการรับรู้ตามปกติในขณะตื่นตัว จิตสำนึกจะหยุดหน้าที่เราพักผ่อนนอนหลับ


ส่วนจิตใต้สำนึก เป็นสภาวะจิตแห่งสัญชาตญาณ (Instinct) ที่มีความสงบ ผ่อนคลาย โดยจะมีการทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลาและสม่ำเสมอ ไม่มีการหยุดพัก แม้ในยามที่เราหลับ จิตใต้สำนึกจะเป็นผู้จัดเก็บระบบข้อมูล ความรู้ เรื่องราวต่างๆ ทั้งหมดที่เข้ามากระทบกับชีวิตเพื่อนำไปเก็บไว้ยังคลังสมองของเรา
ไม่ว่าจะเป็นความคิด (Thoughts) คำพูด (Words) และการกระทำ (Deeds) ทั้งของเราและของผู้อื่น


เหตุใดจึงต้องฝึกฝนพลังจิต? เมื่อเรารู้ว่าจิตใต้สำนึกเป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่สำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเรา จึงต้องเริ่มที่จะฝึกตนให้เป็นคนคิดบวก คิดดี คิดสร้างสรรค์ โดยให้ความคิดที่ดีๆ คำพูดที่ดีๆ และการกระทำที่ดีๆ ของเรา ถูกฝังไว้ในจิตใต้สำนึก ซึ่งถือว่าเป็นคลังสมองแหล่งเก็บความจำที่สำคัญต่อชีวิตของเราด้วย แล้วความคิด คำพูด และพฤติกรรมที่ดีของเราก็จะเคลื่อนไปสู่ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะสัมผัสได้ถึงความดีที่เรากระทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ชีวิตของเราก็จะมีความสุข และมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เข้าทำนอง คิดดี ทำดี ได้ดี นั่นแล


การฝึกฝนพลังจิตก่อให้เกิดผลดีอย่างไรบ้าง? มากมายทีเดียวครับทั่น มีการฝึกฝนสั่งจิตเพื่อบำบัดรักษาโรค การสั่งจิตแก้ปัญหาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำสมาธิเพื่อพลังอำนาจจิต การใช้พลังอำนาจจิตให้ร่างกายและผิวพรรณแลดูอ่อนกว่าวัย และอีกสารพัด


หนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success เล่มนี้ จะชี้ให้คุณเห็นกระบวนการทางจิตอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มีระบบ แบบแผน เป็นขั้นเป็นตอน ทุกเรื่องสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุและผล เริ่มตั้งแต่ชี้เราให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก วิธีการดึงเอาพลังจิตในตัวออกมาใช้ วิธีการฝึกจิตในรูปแบบต่างๆ เช่น การสั่งจิตเพื่อการผ่อนคลาย หรือแม้กระทั่งการสั่งจิตเพื่อลดน้ำหนัก!


ผู้เขียน ดร.บุญเลิศ สายสนิท เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย เห็นภาพ และฝึกปฏิบัติตามได้ไม่ยาก และเมื่อได้ลองปฏิบัติตามแล้วก็เห็นว่าได้ผลจริง โดยเฉพาะการฝึกจิตเพื่อลดความเครียด ทำแล้วรู้สึกผ่อนคลายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เป็นวิธีฝึกฝนจิตที่นำมาปฏิบัติต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ 


เห็นว่าหนังสือ เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For Success เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านไม่มากก็น้อย หากได้รู้เคล็ดลับดึงเอาพลังงานอันมหัศจรรย์ภายในตัวเราออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และฝึกปฏิบัติต่อเนื่องเป็นประจำทุกวันทุกวัน จนสามารถควบคุมพลังอำนาจจิตของตนได้แล้ว ท่านก็จะสามารถบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามใจได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ว่าใครก็สามารถฝึกปฏิบัติได้โดยถ้วนทั่วกัน









ชื่อหนังสือ : เผยความลับของพลังจิต สู่ ความสำเร็จ Reveal The Secret of Mind Power For
                   Success 
ชื่อผู้แต่ง    :ดร.บุญเลิศ สายสนิท
สำนักพิมพ์ : สำนักพิมพ์มายเบสท์บุ๊คส์
พิมพ์ล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 1 มกราคม 2555

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ปฏิทินปัญญา (A Calendar of Wisdom) - ลีโอ ตอลสตอย


ปฏิทินปัญญา (A Calendar of Wisdom) - ลีโอ ตอลสตอย




พ.ศ. 2460 เกิดปฏิวัติรัสเซีย ล้มล้างระบอบจักรวรรดิเป็นการปกครองโดยคอมมิวนิสต์ "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom) ของตอลสตอยตกเป็น "หนังสือต้องห้าม" ด้วยเนื้อหาพาดพิงคำสอนทางศาสนาและจิตวิญญาณ

กระทั่งรัสเซียเปลี่ยนแปลงการปกครองอีกครั้ง "ปฏิทินปัญญา"  (A Calendar of Wisdom) ก็ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นใหม่เมื่อปี 2538 และได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกในอีก 2 ปีต่อมา 

ก่อนเสียชีวิต 5 ปี ตอลสตอยวางหนังสือ "ปฏิทินปัญญา"  (A Calendar of Wisdom) เล่มนี้บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขาตลอดเวลา เป็นหนังสือเล่มโปรดที่เขาพลิกอ่านเป็นประจำตลอดเวลาที่เหลือของชีวิต 

ลีโอ ตอลสตอย หรือชื่อเต็มว่า เคานต์ เลฟ นีคาลาเยวิช ตัลสตอย เกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1828 ในตระกูลขุนนางแห่งยาสนายา โพลียานาเมืองตูลา ประเทศรัสเซีย เรียกว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ แลฐานะทางสังคมที่ดี แต่ทว่าเขากลับเรียนไม่จบระดับมหาวิทยาลัย ด้วยขออาสาไปรับใช้ชาติเสียก่อน จากนั้นก็ท่องไปทั่วยุโรป และกลับมาเปิดโรงเรียนสอนลูกหลานชาวนาที่บ้านเกิด


ชีวิตส่วนตัวแต่งงานกับ โซพี อันเดรเยฟนา เบอร์ส ในปี 1862 มีลูก 13 คน ภายหลังแหล่งพำนักของเขา กลายเป็นศูนย์กลางของนักแสวงบุญจากทุกมุมโลก งานเขียนช่วงนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวพันกับเรื่องของจิตใจ ศาสนา การดำรงชีวิต ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาขยายไปทั่วยุโรป ศาสนจักรเริ่มหวั่นเกรงต่อลัทธิแนวความเชื่อของตอลสตอย ทำให้มีคำสั่งห้ามตีพิมพ์ข้อเขียนของเขา และจับกุมผู้ที่มีข้อเขียนของเขาในครอบครอง แต่ก็ไม่อาจยับยั้งแนวคิดการค้นหา “สัจจะ” ของตอลสตอยได้ จนกระทั่งปี 1901 
ศาสนจักรได้ประกาศขับไล่เขาออกจากศาสนา


ตลอดชีวิตของเขามีช่วงเวลาที่เป็นที่สุดของทั้งความสุข และความทุกข์ ได้พบเจอความเป็นไปของโลกที่ร่ำรวย ฟุ้งเฟ้อ และยากจน เคียดแค้น การแก่งแย่ง กดขี่ การเป็นนักคิดของเขาเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายแห่งการมีชีวิตอยู่ รวมทั้งแนวทางในการศึกษาค้นคว้าทางด้านอภิปรัชญาชาและศาสนา เขาประกาศสละยศบรรดาศักดิ์เป็นสามัญชน และอุทิศงานเขียนช่วงหลังปี 1880 ให้เป็นสมบัติกับประชาชน มีผลงานที่เป็นที่รู้จักกันดีเช่น สงครามและสันติภาพ และ Anna Karenina

ลีโอ ตอลสตอย ใช้เวลาในช่วงบั้นปลายชีวิตเกือบ 15 ปี ทุ่มเทในการเขียนและปรับปรุงหนังสือ "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom) หนังสือรวบรวมปรัชญาชีวิตจากนักคิด นักเขียนสาขาอาชีพต่างๆ นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกในรอบนับพันปีตลอดจนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และสุภาษิตจากทั่วโลก อาทิ พระคริสตธรรมคัมภีร์, คัมภีร์อุปนิษัท, คัมภีร์ปุราณะของอินเดีย, คัมภีร์อัลกุรอาน, คัมภีร์ทาลมุดของยิว จนถึงคำสอนของพระศาสดาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธ เจ้า, พระมุฮัมมัด, พระเยซู, ขงจื๊อ, เล่าจื๊อ, โซโรอัสเตอร์, ซูฟี เป็นต้น

"ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom) ตีพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2447 หลังจากนั้นตอล สตอยปรับปรุงใหม่อีก 3 ครั้ง (ระหว่างปี 2447-2453) นอกจากเพิ่มเติมเนื้อหา ยังจัดหมวดหมู่ความคิดให้เข้ากัน อาทิ พระเจ้า, สติปัญญา, บทบัญ ญัติ, ความรัก, ธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์, ศรัทธา, สิ่งล่อใจ, คำพูด, การเสียสละ, ความเป็น นิรันดร์, ความดีงาม, ความเมตตา, ความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คน (กับพระเจ้า), การอธิษฐาน, อิสรภาพ, ความดีพร้อม, การทำงาน ฯลฯ 

"ข้าพเจ้าหวังว่าผู้อ่านหนังสือเล่มนี้จะได้รับประโยชน์ และช่วยยกระดับความรู้สึกนึกคิด เช่นเดียวกับที่ได้เกิดกับตัวข้าพเจ้าเองครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ว่าขณะที่กำลังเขียน หรือเมื่อได้อ่านซ้ำๆ อยู่ทุกวัน"


ลีโอ ตอลสตอย เขียนถึงผลงาน "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom)  ของเขาไว้เช่นนั้น

ท้ายที่สุด ลีโอ ตอลสตอย จบชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยวเยี่ยงคนจรหมอนหมิ่น ด้วยโรคหวัดท่ามกลางความหนาวเหน็บ ณ สถานีรถไฟเล็ก ๆ ปิดฉากนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และทรงอิทธิผลต่อชาวรัสเซียและยุโรปผู้นี้









ชื่อหนังสือ : "ปฏิทินปัญญา" (A Calendar of Wisdom)
ชื่อผู้แต่ง : ลีโอ ตอลสตอย
ชื่อผุ้แปล : มนตรี ภู่มี
สำนักพิมพ์ : แพรวสำนักพิมพ์
พิมพ์ครั้งล่าสุด : พิมพ์ครั้งที่ 1 มกราคม 2555