วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บางเหตุผล.. ที่ผู้คนครึ่งโลก หลงรัก ฮารูกิ มูราคามิ [ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ] บทความ : ปราย พันแสง (Pry Pansang)

บางเหตุผล.. ที่ผู้คนครึ่งโลก หลงรัก ฮารูกิ มูราคามิ [ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ] บทความ : ปราย พันแสง Pry Pansang


บางเหตุผล.. ที่ผู้คนครึ่งโลก หลงรัก ฮารูกิ มูราคามิ [ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ] 
บทความ : 'ปราย พันแสง 
ตีพิมพ์ครั้งแรกใน prypansang.blogspot.com ตุลาคม 2007 

...... เมื่อมีโอกาสกลับมาค้นงานเขียนเกี่ยวกับฮารูกิ มูราคามิ เพื่อรวบรวมจัดพิมพ์เป็นพ็อคเก็ตบุ๊ค“ศาสดาเบสท์เซลเลอร์”ล่าสุดนี้ ทำให้ต้องกลับไปอ่านสำรวจตรวจตราเรื่องสั้นของฮารูกิ มูราคามิ หลายเรื่องที่ตัวเองเคยแปลไว้[สำหรับเป็นตัวอย่างประกอบบทความ]อีกครั้งหนึ่ง ............. 

ลองนำต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเทียบอีกครั้ง ตัดสินใจแก้ไขบางคำบ้าง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากกว่านั้น เพราะ “สำเนียง” ของมูราคามิในหัวยังเป็นเสียงเดียวเสียงเดิม ...เหมือนที่ฉันได้ยินเมื่อหลายปีก่อน ............. 

น้องคนหนึ่งเคยบอกว่า เรื่องมูราคามิที่ฉันแปล มันไม่เหมือนสำนวนแปลของคนอื่น ทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจพอสมควร เพราะเวลาฉันอ่านสำนวนแปลของคนอื่น ฉันก็มักจะได้ยิน“สำเนียง”ของมูราคามิเป็นเสียงเดียวกับต้นฉบับภาษาอังกฤษที่เคยอ่านเช่นกัน .............. 

อาจจะมีสะดุดบ้างในบางครั้ง กับบางเล่ม ที่ทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอ่านบนรถไฟเหาะตีลังกา เนื่องจากแต่ละคำ แต่ละประโยคในพารากราฟมัน“ขาด”จากกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เรื่องที่อ่านมันกระโดกกระเดกมากไปนิด .......... 

คงไม่ใช่เรื่องผิด คนแปลแต่ละคนก็ย่อมมีสิทธิ์ได้ยิน"เสียง"ของผู้เขียนต่างกันไป เพียงแต่อ่านแล้วรู้สึกขัด อยู่บ้าง เนื่องจากว่าในสามัญสำนึกของฉัน มูราคามิเป็นคนเขียนหนังสือ“เนียน”มีความสุขุมลุ่มลึก ประณีต และละเมียดกับอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เขาคงจะไม่ใช้กริยากระโดกกระเดกกับผู้อ่านในการเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง(อ่าน) อย่างแน่นอนหลายคนที่ฉันรู้จักบอกว่าอ่านงานเขียนของมูราคามิไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ 
................ อันที่จริงการอ่านงานเขียนของมูราคามินั้นไม่ใช่การอ่านเพื่อความเข้าใจแต่มันเป็นการอ่านเพื่อ“ประสบการณ์”มากกว่า ............... 

มันเป็น “ประสบการณ์” คล้ายๆ กับเวลาที่เราเดินเข้าไปในแกลเลอรี่หรือหอศิลป์ งานเขียนของมูราคามิ ไม่ใช่ภาพเขียนงามวิจิตรขนาดใหญ่ที่ติดเอาไว้บนฝาผนัง เพื่อให้ผู้คนตกตะลึงว่า“วาดออกมาได้อย่างไร”แต่มันคล้ายกับเราเดินเข้าไปในห้องหนึ่งของหอศิลป์ ที่มีการจัดแสดงนิทรรศการผลงานประเภทจัดวาง (installation) เอาไว้ให้ชม .... 

ในห้องนั้นอาจจะมีชักโครกใช้แล้วตั้งอยู่กลางห้อง มีกุหลาบสีขาวอยู่ในตู้กระจก มีกระจุกผมสีดำวางอยู่ในจานอาหารราคาแพง มีเสียงดนตรีสารพัดประเภทดังแว่วออกมาจากทุกหนแห่ง มีน้ำทะเลอยู่ในขวดโค้ก ฯลฯ หลังจากนั้น เราก็เดินออกจากห้องนั้นมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย อันยากแก่การบอกเล่าให้บุคคลอื่นได้รับรู้ เนื่องจากวิธีเดียวที่จะรับรู้ “ประสบการณ์”นั้นได้ ก็คือการเดินเข้าไปในห้องนั้นด้วยตัวเองการอ่านหนังสือของมูราคามิก็เช่นกันการอ่านหนังสือของมูราคามิ จึงไม่ใช่การเร่งรีบอ่านหน้าแรกเพื่อไปถึงหน้าสุดท้ายให้เร็วที่สุดเท่านั้น แต่คนอ่านต้องมีเวลามากพอที่จะค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ เคี้ยวย่อยไปเรื่อยๆ ทีละหน้า ทีละหน้า ไม่ต้องรีบร้อน ................... 

มันเป็นการอ่านที่ต้องการ"เวลา"มากๆ เหมือนกับการจัดแสดงนิทรรศการ ต้องมี "ที่ว่าง" มากๆ ---มันเป็นอย่างนั้น ............ งานเขียนของมูราคามิ ไม่ได้ปฏิวัติปลี่ยนแปลงเพียงรูปแบบภาษาที่ผู้เขียนใช้เล่าเรื่องราวเท่านั้น แต่มันยังเปลี่ยนแปลงประสบการณ์อ่าน รวมถึงวัฒนธรรมการอ่านในโลกเราไปอย่างสิ้นเชิงด้วย! ............... 

รูปแบบภาษาเฉพาะตัวของมูราคามิ อาจจะไม่ได้หมายถึงการประดิดประดอยคำแปลกๆ ขึ้นมาใช้ อาจจะไม่ได้หมายถึงการเอา กรรม มาไว้หน้า ประธาน ของประโยค หรืออะไรทำนองนั้น สังเกตได้จากผู้เชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นที่ศึกษาผลงานของมูราคามิมากมาย ก็ไม่เห็นมีใครเอ่ยถึงเรื่องทำนองนี้เลยสักคน ................. 

โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่คิดว่ามูราคามิจะสนใจเรื่องรูปประโยคประเภทประธาน กริยา กรรม ช่องไฟ สระ พยัญชนะ หรืออะไรพวกนี้เลยด้วยซ้ำ .................. หลังจากอายุยี่สิบเก้าปีที่ได้"ค้นพบ"วิธีการเขียนในสไตล์ของตัวเองแล้ว เวลาลงมือเขียนหนังสือ มูราคามิ อาจจะไม่ได้คิดว่ามีตัวหนังสืออยู่ในโลกนี้เลยด้วยซ้ำ ................... 

ถ้าอย่างนั้น สไตล์หรือรูปแบบภาษาพิเศษเฉพาะตัวคืออะไร แบบไหนกัน? ............. ตรงนี้ต้องบอกว่าสไตล์ของเขาพิสดารหลากหลายมาก แม้ว่าจะใช้พล็อตเรื่องหลวมๆ หรือตัวละครซ้ำๆเดิมๆ ก็ตามที เรื่องที่เขียนยังตรึงคนอ่านได้อยู่หมัด แถมยังได้รับความนิยมอ่านแพร่หลายไปทั่วโลก นั่นคงไม่ใช่ธรรมดา .................... 

ยกตัวอย่างเช่น หากมองแต่เพียงผิวเผิน สไตล์การเขียนของมูราคามิที่พบได้ในงานเกือบทุกเล่มนั้น มักเป็นการเขียนด้วย"ภาวะจิต"(consciousness) โดยผ่านตัว"ผม" เป็นคนเล่าเรื่อง คิดเรื่องนั้น รู้สึกเรื่องนี้ ไม่ต่างจากงานเขียนทั่วไป ............. 

แต่ถ้าสังเกตนิดหน่อย อาจจะรู้สึกได้ไม่ยากนัก ว่าภาวะจิตของ"ผม"นั้น มันไม่ได้ถูกกำหนดบทบาทไว้ตามกฏเกณฑ์การเขียนเรื่องทั่วไปเลย ความคิดของ"ผม"ในงานเขียนของมูราคามินั้นเพี้ยนมาก[ในบุคลิคภาพคนญี่ปุ่น]"ผม"มีความคิดอิสระ[ในความใฝ่ฝันแบบคนอเมริกัน]แต่ร่างกายและภูมิหลังติดตรึงอยู่กับแบบแผนบางอย่าง มักรอคอยบางสิ่งเพื่อพลิกเปลี่ยน ............. 

เมื่อสิ่งนั้นมาถึง"ผม"คนเดียวกันนี้ก็จะไม่ยอมอยู่กับร่องรอย ไม่ยอมอยู่กับบรรทัดฐานใดอีกต่อไป บทสุดท้ายชะตากรรมของ"ผม"หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมายไปกว่าบทเริ่ม แต่แปลกว่าเรื่องราวเพี้ยนๆ บ้าๆ บอๆ ทั้งหมดนี้ กลับสามารถทำให้คนอ่านรู้สึกร่วมได้ชะงัด .............. กว่าทศวรรษที่ผ่านมา กระแสความนิยมในหนังสือของฮารูกิ มูราคามิ ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีนักอ่านวัยรุ่นหนุ่มสาวยิ่งกระหายใคร่อ่านหนังสือของเขามากขึ้นด้วย ................. 

หลายพื้นที่ในโลก การอ่านหนังสือของมูราคามิ เป็นเครื่องมือสำหรับประกาศถึงอิสรภาพและตัวตน กลายเป็นความทันสมัย กลายเป็นแฟชั่นโก้เก๋ไปแล้วอย่างไม่น่าเชื่อ [แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งผลงานได้รับการเผยแพร่เป็นภาษาต่างๆ กว้างไกลหลายภาษาเพียงใด เรากลับได้เห็นหน้าค่าตาของมูราคามิผ่านสื่อต่างๆ น้อยลงทุกที] ................ 

การที่หนังสือบางเล่มขายดี มันก็คงมีเหตุผลบางอย่างที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะอ่านเพื่อเอาสาระ อ่านเพื่อแฟชั่น หรือเพื่ออะไร อย่างน้อยเนื้อหาในหนังสือขายดีเหล่านั้น มันก็น่าจะเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณบางอย่างของคนอ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย... ......... 

ฉบับภาษาไทยล่าสุด[เป็นผลงานยุคแรกๆในภาษาญี่ปุ่นของมูราคามิเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว]"ผม"ของมูราคามิบอกคนอ่านอย่างโต้งๆ ล่ะเลยว่า "ความทรงจำส่วนใหญ่ของผมไม่มีวันที่กำกับ" หรือ "ความทรงจำของผมค่อนข้างเลื่อนเปื้อนได้ถึงขั้นน่าประทับใจทีเดียว ผมกลับผิดทิศผิดทางได้เสมอ ถ้านำเอาเกร็ดเรื่องราวมาเป็นความจริง แม้แต่เรื่องราวที่พบเห็นด้วยตาตนเอง ยังนำเอาคำให้การของคนอื่นมาแทนที่" [เรือเชื่องช้าสู่เมืองจีน (Slow Boat to China) นพดล เวชสวัสดิ์,สร้อยสุดา ณ ระนอง แปล (2550),สำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน,มติชน] นั่นคงพอจะเป็นตัวอย่างถึง"ภาวะจิต"คนเล่าเรื่อง (storyteller)ของมูราคามิได้บ้าง .... สิ่งที่น่าประหลาดใจมากคือเพี้ยนได้ถึงขนาดนี้ แต่งานเขียนของมูราคามิยังดูดีมีเสน่ห์ มีพลังด้านอารมณ์ความรู้สึกมากพอจะทำให้ผู้อ่านหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องราว ................ หรือบางคราว"อิน"จัด ถึงกับคิดว่าตัวเองเป็นตัวละครตัวนั้นด้วย...นั่นล่ะ ความสามารถของมูราคามิ ............. 

"สิ่งทีผมเรียนรู้มาก็คือ คุณจะต้องฉลาดใน (สไตล์) การเขียนเรื่อง แต่เนื้อหาสาระในงานเขียนของคุณไม่จำเป็นต้องฉลาดอะไรก็ได้" มูราคามิเคยอธิบายวิธีเขียนหนังสือของเขาเอาไว้อย่างนั้น แสบไหมล่ะ! .......... 

ด้วยเหตุนี้ วิธีเขียนหนังสือของมูราคามิจึงน่าศึกษาและน่าสนใจมากเมื่อหลายปีก่อน หลังจากได้อ่านหนังสือของมูราคามิไปหลายเล่ม ฉันจึงเกิดแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้า ค้นหาที่มา และเบื้องหน้าเบื้องหลังในการเขียนหนังสือของเขา จนกระทั่งได้ไปเจอแง่มุมความคิดอะไรต่างๆ มากมาย จนเกิดเป็นเรื่องหลายตอนจบในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ จนกลายเป็นพ็อคเก็ตบุ๊ค “ศาสดาเบสท์เซลเลอร์” ในวันนี้จนได้ยังจำได้ตอนนั้น มีผู้อ่านบางคนบอกมาอย่างไม่เกรงใจว่า“เมื่อไหร่จะเลิกเขียนเรื่องนี้เสียที” :)

ศาสดาเบสท์เซลเลอร์ HARUKI MURAKAMI, study book ฮารูกิ มูราคามิ โดย ปราย พันแสง

ศาสดาเบสท์เซลเลอร์ HARUKI MURAKAMI, study book ฮารูกิ มูราคามิ โดย ปราย พันแสง
ศาสดาเบสท์เซลเลอร์ HARUKI MURAKAMI, study book ฮารูกิ มูราคามิ โดย ปราย พันแสง 


วันนี้ค้นหาข้อมูลบางอย่าง ก็พลันไปเจอกับข้อมูลของหนังสือ ศาสดาเบสท์เซลเลอร์ HARUKI MURAKAMI, study book ฮารูกิ มูราคามิ โดย ปราย พันแสง เข้าโดยบังเอิญ เกี่ยวกับหนังสือ ศาสดาเบสท์เซลเลอร์ HARUKI MURAKAMI จั่วหัวได้อย่างน่าสนใจ
 
"เขียนอย่างไรให้ขายดีติดเบสท์เซลเลอร์ทั่วโลก ชำแหละคมความคิดและสไตล์การเขียนของ ฮารูกิ มูราคามิ นักเขียนญี่ปุ่นนอกคอก ที่มีผลงานเขียนและงานแปลมากถึง 40 ภาษา กวาดรางวัลมาแล้วมากมาย แถมติดอันดับขายดีหลายล้านเล่มทั่วโลก ว่ากันว่านี่คือนักเขียนรางวัลโนเบลคนต่อไป ............. "

โดยส่วนตัวข้าพเจ้าชื่นชอบความคิด คมเขียนของคุณปราย พันแสง อยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งคุณปรายมาเขียนเกี่ยวกับฮารูกิ มูราคามิ ยิ่งเกิดอาการกระสันอยากอ่าน ใครก็พอจะทราบว่าฮารูกิ มูีราคามิ เป็นนักเขียนแนวอาร์ทตัวพ่อ คือ ลอยๆ จับต้องได้ยาก ใครหลุดเข้าประตูไปในมิติของเขาได้นับว่ายอดเยียม ใครที่ได้อ่านงานของเขาแล้วคงมีปฏิกริยาตอบสนองอยู่สองอย่าง คือหนึ่ง อุทานว่า "อะไรของมึงวะ?!" และปิดหนังสือ และเลิกอ่้านไปเลย กับสอง คนที่โดนร่ายมนต์มึนๆ งงๆ ตาลอยๆ เหมือนเสพดมกาว กว่าจะได้สติก็อ่านหนังสือของเขาไปแล้วไม่รู้กี่เล่ม  ลามไปถึงอยากรู้จักตัวตนของเขาด้วย เมื่อนักเขียนที่ชื่นอบมาเขียนถึงนักเขียนลึกลับน่าค้นหา เราจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่อ่านหนังสือ ศาสดาเบสท์เซลเลอร์ HARUKI MURAKAMI เล่มนี้


คุณปราย พันแสง มองว่าวิธีเขียนหนังสือของมูราคามิน่าศึกษาและน่าสนใจมาก หลังจากที่คุณปรายได้อ่านหนังสือของมูราคามิไปหลายเล่ม จึงเกิดแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้า ค้นหาที่มา และเบื้องหน้าเบื้องหลังในการเขียนหนังสือของเขา จนกระทั่งได้ไปเจอแง่มุมความคิดอะไรต่างๆ มากมาย จนเกิดเป็นเรื่องหลายตอนจบในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ จนกลายเป็นพ็อคเก็ตบุ๊ค “ศาสดาเบสท์เซลเลอร์” ในที่สุด คุณปรายกล่าวว่า "จนได้ยังจำได้ตอนนั้น มีผู้อ่านบางคนบอกมาอย่างไม่เกรงใจว่า“เมื่อไหร่จะเลิกเขียนเรื่องนี้เสีย ที” :)"

[1]หลายคนบอกว่าอ่านงานเขียนของมูราคามิไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ อันที่จริงการอ่านงานเขียนของมูราคามินั้นไม่ใช่การอ่านเพื่อความเข้าใจแต่มันเป็นการอ่านเพื่อ“ประสบการณ์”มากกว่า งานเขียนของมูราคามิ ไม่ได้ปฏิวัติปลี่ยนแปลงเพียงรูปแบบภาษาที่ผู้เขียนใช้เล่าเรื่องราวเท่านั้น แต่มันยังเปลี่ยนแปลงประสบการณ์อ่าน รวมถึงวัฒนธรรมการอ่านในโลกเราไปอย่างสิ้นเชิงด้วย! ................... 

ฮารูกิ มูราคามิ เริ่มต้นงานเขียนเมื่ออายุได้ยี่สิบเก้าปี ผลจากการเริ่มต้นคราวนี้ คือนิยายเรื่องแรกของเขาที่ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1979 ที่มีชื่อว่า Hear the Wind Sing “ตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น ผมเคยคิดว่ามันจะยอดเยี่ยมขนาดไหน ถ้าผมสามารถเขียนนวนิยายเป็นภาษาอังกฤษได้ ผมเคยมีความรู้สึกว่า ผมอาจจะสามารถแสดงความรู้สึกและอารมณ์ต่างๆ ของผมได้ชัดเจน และตรงไปตรงมา มากกว่าการที่เขียนในภาษาญี่ปุ่น แต่ด้วยความที่ผมไม่ค่อยชำนาญในภาษาอังกฤษ มันจึงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งผมเสียเวลากับมันไปนานมาก ก่อนที่ผมจะเริ่มเขียนนวนิยายในภาษาญี่ปุ่น และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงเขียนนวนิยายไม่ได้สักเล่มจนเมื่ออายุยี่สิบเก้า ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากว่า ผมต้องคิดสร้างภาษาญี่ปุ่นแนวใหม่ให้กับนวนิยายของผมทั้งหมดด้วยตัวผมเอง ผมไม่อยากไปยืมภาษาเดิมๆ ที่มีอยู่แล้วมาใช้เท่านั้นเอง จากเหตุผลนี้ ผมจึงไม่เหมือนคนอื่น” ..................... 

ปัจจุบัน ฮารูกิ มูราคามิ มีผลงานเขียนประเภทเรื่องสั้น,นวนิยาย,สารคดี,บทสัมภาษณ์,และผลงานแปล (มูราคามิมีชื่อเสียงในญี่ปุ่น ในฐานะผู้แปลวรรณกรรมอเมริกันเป็นภาษาญี่ปุ่นจำนวนมาก) มากมายหลายสิบเล่ม ทั้งยังได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ในโลก มากมายถึง 40 ภาษา ยอดจำหน่ายรวมเป็นล้านๆ หลายล้านเล่ม ทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ก็มีการแปลผลงานนวนิยายของเขาออกมาเป็นภาษาไทยครบทุกเล่ม และเริ่มมีการแปลเรื่องสั้นตามออกมาบ้างแล้ว ........................ 

การที่นักเขียนเอเชียตัวเล็กๆ ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางในระดับโลกขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน! .................... 

"การเขียนทำให้ผมดิ่งลึกเข้าสู่จิตใต้สำนึกของตัวผมเอง" –การเขียน 

"ผมไม่อยากเป็นพระเจ้าหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นนักเขียนที่รู้ไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ผมเขียนถึงทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้หรอกครับ ผมเขียนได้แต่เรื่องตัวผมเองเท่านั้น" - "ผม" กับพระเจ้า 

"ยิ่งผมเครียดเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเขียนเรื่องพิลึกกึกกือได้มากขึ้นเท่านั้น" – ความลึกลับ 

"ผมชอบการเดินทาง ถ้าคุณเป็นนักเขียน คุณจะอยู่ที่ไหนก็ได้ ผมกับภรรยาไม่มีลูกด้วยกัน ทำให้เรามีอิสระในการที่จะไปไหนต่อไหนก็ได้ ผมย้ายไปอยู่ในที่ต่างๆ ทุกสองปี" -การเดินทางท่องเที่ยว 

"ผมตื่นตอน 6 โมงเช้า และเข้านอนตอน 4 ทุ่ม วิ่งจ๊อกกิ้งทุกวัน ผมว่ายน้ำ ผมเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เพราะผมเป็นคนเชื่อในความเป็นจริงและเหตุผล"-เคล็ดลับของนักเขียนอัจฉริยะ 

“ผมไม่ได้ต้องการรถเบนซ์ ไม่อยากได้เสื้อผ้าอาร์มานี่ แต่ “เงิน” สามารถซื้อเวลาให้ผมเอาไว้ทำงานเขียนของผมได้" - ความสำเร็จ 

“การเล่าเรื่องที่ดี มันก็เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่ผมเดินอยู่ตามถนนนั่นแหละครับ ผมรักท้องถนน ผมชอบมองสิ่งต่างๆ รอบตัว บางครั้งได้ยินเสียง บางครั้งได้กลิ่น” -มูราคามิกับถนน [1]

*[1]ที่มาจาก http://freeformbooks.blogspot.com/2008/10/blog-post_1122.html 



ชื่อหนังสือ   :   ศาสดาเบสท์เซลเลอร์ HARUKI MURAKAMI 
ชื่อผู้เขียน    :   ปราย พันแสง
สำนักพิมพ์   :  
ฟรีฟอร์มสำนักพิมพ์
พิมพ์เมื่อ      :   พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2550

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วิธีใช้ลิ้นสองนิ้ว อย่างแยบยล เขียนโดย เห่ง เจี่ย / อธิคม สวัสดิญาณ เรียบเรียง



วิธีใช้ลิ้นสองนิ้ว อย่างแยบยล สำนักพิมพ์เต๋าประยุกต์ เขียนโดย เห่ง เจี่ย / อธิคม สวัสดิญาณ เรียบเรียง  
Story : R.ANCHALEE 



มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ลิ้น" อาจเป็นอวัยะที่ชั่วร้ายที่สุดในร่างกายของคนเรา ก็เห็นจะเป็นจริงเชนนั้น ยกตัวอย่างจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ของท่านยากอบได้กล่าวถึงเรื่อง "ลิ้น" สอนใจไว้อยู่หลายข้อในบทที่ 3

 
2 เพราะเราทุกคนทำผิดพลาดกันไปหลายๆอย่าง ถ้าผู้ใดมิได้ทำผิดทางวาจา ผู้นั้นก็เป็นคนดีรอบคอบแล้ว และสามารถบังคับทั้งตัวไว้ได้ด้วย
 
5 เช่นนั้นแหละลิ้นก็เป็นอวัยวะเล็กๆด้วย และพูดโอ้อวดอ้างการใหญ่ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาไหม้มากเท่าใด
 
6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ เป็นโลกแห่งการชั่วช้าซึ่งตั้งอยู่ในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายเป็นมลทินไป ทำให้วิถีแห่งธรรมชาติเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟจากนรก

"ลิ้น" แม้จะเป็นอวัยวะเล็กๆ ส่วนหนึ่งในร่างกาย แต่อาจล้างทำลายชีวิตของคนเราได้ไม่ยากเย็นนัก หากเราใช้ลิ้นอย่างไม่เหมาะสม ไม่ถูกคน ไม่ถูกกาละเทศะ เช่น ในการบริภาษ วิพากษ์วิจารย์ผู้อื่นเสียๆ หายๆ การเสียดเย้ย การพูดสะกิดแผลใจผู้อื่น การนินทาให้ร้าย การพูดจาเพ้อเจ้ออันหาสาระมิได้ และอีกสารพัดครับ การพูดโดยปราศจากการไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อพูดไปแล้วส่วนใหญ่ผู้พูดมักมานั่งนึกเสียใจในภายหลัง นั่นเพราะขาดการยับยั้งชั่งใจนั่นเอง ตอร์เกเนฟ (Ivan Sergeevich Turgenev) นักวรรณคดีนามอุโฆษชาวฝรั่งเศส เคยกล่าวว่า "ก่อนพูด ควรวนปลายลิ้นสักสิบรอบในช่องปาก" เป็นคติเตือนใจว่า ก่อนพูดอะไรควรที่จะคิดให้รอบคอบก่อนนั่นเองครับท่าน 

มาฟากข้างพี่ไทยเรา ก็มีคำประโยคที่คุ้นหูเกี่ยวกับด้วยเรื่องลิ้นอยู่มากมาย อาทิ "พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่วอัปราชัย" หรือ "ปลาหมอตายเพราะปาก"  ตัวอย่างเรื่องเล่ามากมายของคนที่ใช้ลิ้นโดยปราศจากสติปัญญา ซึ่งนำผลร้ายมาสู่ตัว 

เรื่องมีว่า ในสมัยโบราณกาลโน้น มีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่ง นามว่า "ซิ่วไจ๋" มีนิสัยถือดีอวดตน หยิ่งทะนงในความรู้ความสามารถของตนเป็นหนักหนา วันหนึ่งเขาคิดลองดีหมายทำให้ฌานาจารย์ขายหน้า [1]"หลวงพ่อ พุทธองค์ทรงเมตตา ไม่เคยปฏิเสธคำวิงวอนของเหล่าสรรพสัตว์เสมอมา นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?" ฌานาจารย์ตอบทันควัน "ใช่แล้ว" ซิ่วไจ๋จึงถามต่อด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ว่า "ถ้าอย่างนั้น หากข้าต้องการไม้เท้าในมือหลวงพ่อ หลวงพ่อคงไม่ถึงกับตระหนี่จนปฏิเสธการร้องขอของข้ากระมัง?" "อาตมาจะให้โยมได้อย่างไร? วิญญูชนไม่แย่งชิงของของหวงของผู้อื่น โยมอ่านตำรามามายเช่นนี้ เหตุผลธรรมดาเช่นนี้ โยมยังไม่เข้าใจอีกหรือ?" ซิ่วไจ๋รู้ตัวว่าขาดเหตุผล แต่นังดันทุรังตอบว่า "ข้าไม่ใข่วิญญูชน" ฌานาจารย์จึงตอบว่า "ข้าก็ไม่ใช่พระพุทธองค์" ซิ่วไจ๋โกรธมากไม่ยอมเลิกรา เมื่อฌานาจารย์เดินผ่านมาเขาทำทีไม่สนใจใยดี ฌานาจารย์จึงสั่งสอนว่า "คนหนุ่มเห็นผู้อาวุโสเดินมา ไฉนจึงไม่ลุกขึ้นยืน?" นี่คอมารยาทนะโยม!" ซิ่วไจ๋หลวมตัวว่าเข้าถึงธรรมแบบฌาณจึงตอบว่า "ข้านั่งทำความเคารพเท่ากับลุขึ้นยืนทำความเคารพแล้ว" ฌานาจารย์ไม่โต้ตอบ ทว่าฉับพลัน ยื่นมือมาตบซิ่วไจ๋ดังฉาด ซิ่วไจ๋ตกใจมากร้องถามว่า "ตบข้าทำไม ถือดีอย่างไร!" ฌานาจารย์พนมมือตอบเนิบนาบว่า "ในเมื่อโยมนั่งอยู่เท่ากับลุกขึ้นยืน อาตมาตบหน้าโยมก็เท่ากับไม่ได้ตบหน้าโยม" ([1]จากตอนหนึ่งในหนังสือ วิธีใช้ลิ้นสองนิ้ว อย่างแยบยล) เป็นไงล่ะท่านนายบัณฑิตซิ่วไจ๋ถึงกับหน้าชากริบ ได้บทเรียนมาครั้งใหญ่ (เอ..หรือว่าจะยังไม่เข็ด) 

นี่เปนเพียงตัวอย่างหนึ่งของการใช้ลิ้นโอ่อวด แต่ความเป็นจริงแล้วข้างในกลวงเปล่า ดั่งกบในกะลา  ขงจื๊อเคยกล่าวว่า " คนชอบเล่นลิ้น พูดจาลื่นหู ประจบเอาใจ น้อยนักคือผู้เมตตา" 

บนจามิน แฟลงคลิน ยังเคยกล่าวว่า "การโต้แย้งคือเกมที่คนสองคนเล่นกัน มันเป็นเกมที่ประหลาด ไม่เคยมีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ" 

ฉะนั้นเราจึงไม่ควรเป็นวีรชนด้วยน้ำลาย บางคนทำงานไม่เป็น วันๆ ถนัดแต่เล่นลิ้น บิดเบือนความจริง หมายใช้ลิ้นเพื่อล่อหลอกหาผลประโยชน์ส่วนตัว (คุ้นๆ กับอาชีพหนึ่งของบ้านเราแฮะ) คนพวกนี้ชีวิตมักล้มเหลว เพราะขาดความจริงใจ 

จริงอยู่แม้ว่า "ลิ้น" จะเป็นอวัยวะที่ควบคุมได้ยากที่สุด หากแต่ใช้ลิ้นด้วยสติปัญญา รู้จักพลิกแพลงตามโอกาสและสถานการณ์ต่างๆ อย่างเหมาะสม ลิ้นนั้นก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลต่อคนเราได้เช่นกัน ยังมีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นตัวอย่างของการรู้จักใช้ลิ้นสร้างโอกาสและสถานการณ์ ให้เปนประโยชน์แก่ตนเอง 

เรื่องมีอยู่ว่า "ในสมัยจักรพรรดิ์เฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง มีนักประพันธ์อัจฉริยะผู้หนึ่ง นามว่า "จี้เสี่ยวหลัน" วันหนึ่งเขาถกเถียงกับหลิวหลัวกวอ ขุนนางผู้ใหญ่ [2]จี้เสี่ยวหลันถามว่า "หัวผักกาด เป็นพืชที่ชานตุงของท่านใหญ่แค่ไหน?" หลิวหลัวกวอทำมือให้ดู ชานตุงขึ้นชื่อเรื่องหังวผักกาด เป็นพืชผลที่มีชื่อที่สุดของชานตุง จี้เสี่ยวหลันก็ว่า หัวผักกาดข้าที่จื้อลี่ใหญ่กว่า ทั้งคู่เถียงไปเถียงมาต่อหน้าพระพักตร์เฉียนหลง พระองค์นึกสนุกจึงตรัวให้แต่ละคนนำหัวผักกาดมาให้ขุนนางในท้องพระโรงดู ทุกคนตะลึงในความใหญ่ของหัวผักกาดของหลิวหลัวกวอ ส่วนจี้เสี่ยวหลันนั้นเล่ากลับล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบหัวผักกาดเท่าหัวแม่มือออกมา ฝ่าบาทโกรธหน้าดำหน้าแดงหาว่าจี้เสี่ยวหลันคิดเล่นตลก จี้เสี่ยวหลันรีบกราบทูลว่า "มณฑลจื้อลี่ดินจืด และแห้งแล้งอย่างหนัก ผลิตผลทางการเกษตรตายเกือบหมด ราษฎรส่งส่วยภาษีได้ไม่มากนัก ขอทรงโปรดสืบดูให้แน่ชัด" หลิวหลัวกวอถึงรู้ว่าโดนเล่นงานเข้าให้แล้ว([2]จากตอนหนึ่งในหนังสือ วิธีใช้ลิ้นสองนิ้ว อย่างแยบยล) ลำพังถ้าจี้เสี่ยวหลันกราบทูลว่ามณฑลตนแห้งแล้งอาจไม่ได้รับความสนใจนัก ทว่าเมื่อเพิ่ม "อุปกรณ์" บางอย่าง ผ่านการนำเสนอ สร้างภาพราวกับแสดง ก็ช่วยให้ คนทั้งหลายรับทราบด้วยความรู้สึกประทับใจมากยิ่งขึ้น นี่คือข้อดีอขงการ "สร้างภาพ" หรือศิลปะในการ "หีบห่อ" นั่นเอง! จี้เสี่ยวหลันรู้จักพลิกแพลงสร้างภาพด้วยใช้ลิ้นสร้างสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์ 

การใช้สติปัญญาไตร่ตรองว่าควรใช้ลิ้นในสถานการณ์ใดเป็นกลยุทธ์ที่เรียนรู้ได้จากประสบการณ์ทั้งจากตัวเองและผู้อื่น เราจึง จะเป็นคนที่น่านับถือยกย่อง  

บราวส์กล่าวว่า "คนพูดเก่งอย่างแท้จริง ไม่ต้องจดจำคำพูดของคนอื่นมาพูด แต่จะพูดเรื่องที่ทำให้คนอื่นจดจำตลอดไป" 

หนังสือ วิธีใช้ลิ้นสองนิ้ว อย่างแยบยล สำนักพิมพ์เต๋าประยุกต์ เขียนโดย เห่ง เจี่ย อธิคม สวัสดิญาณ เรียบเรียง เป็นหนังสือกลยุทธ์อีกเล่ม ในการพัฒนาวาทะศิลป์ของเราให้แยบคายยิ่งขึ้น ในเล่มเราได้จะได้เรียนรู้วิธีการใช้ลิ้น กลั่นความคิด ลับฝีปาก "ชนะศึกด้วยลิ้นสองนิ้ว" ปัญหาจำนวนมากไม่จำเป็นต้องแก้ด้วย "กำปั้น" ถ้ารู้จักตั้งสติยั้งคิด คำนึงถึงส่วนรวม และ "ปากพ่นดอกบัวได้" 

 หนังสือ วิธีใช้ลิ้นสองนิ้ว อย่างแยบยล ได้สอนกลยุทธ์ในการใช้ลิ้นแก้ปัญหาต่างๆ อย่างแยบยล ผ่านเรื่องเล่าต่างวาระและโอกาสต่างๆ กัน ทำให้อ่านสนุกในระดับหนึ่ง แต่ใช่ว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลงคุณจะกลายเป็นคนที่มีวาทะศิลป์เป็นเลิศ เพราะการใช้ลิ้นต้อง อาศัยการฝึกฝนผ่านกระบวการคิดอย่างรอบคอบ 

อย่างไรก็ดีการใช้ลิ้นในความรู้สึกของคนส่วนใหญ่อาจให้ภาพลักษณ์ในแง่ลบมากกว่าด้านดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ลิ้นเล่นแง่เหลี่ยม การแสดงถึงความใจแคบ คิดเล็กคิดน้อย ขาดคุณธรรมด้านลิ้น ฯลฯ แต่ทว่าทุกสิ่งอย่างย่อมมีสองด้าน ด้านที่ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ กับด้านที่ก่อให้เกิดโทษ ก็อยู่ที่ว่าเรามีความสามารถเลือกเค้นสติปัญญานำออกมาใช้อย่างไร 

"แต่เหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าท่านจะเป็นคนที่วาทะศิลป์เป็นเลิศเพียงใด แต่หากใจไร้ซึ่งคุณธรรมแล้วล่ะก็ วาจาของท่านก็มิอาจ พูดสิ่งดีสิ่งใดออกมาได้เลย เพราะคำพูดที่ออกจากปากของเรานั้นล้วนออกมาจากส่วนลึกภายในจิตใจ ฉะนั้นเพียงท่าน คิดดีทำดี ข้าพเจ้าเชื่อว่าลิ้นของท่านย่อมต้องเป็นลิ้นที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมจริงอย่างแน่นอน"


ชื่อหนังสือ   :   วิธีใช้ลิ้นสองนิ้ว อย่างแยบยล
ชื่อผู้เขียน    :   เห่ง เจี่ย
ชื่อผู้เรียบเรียง : อธิคม สวัสดิญาณ
สำนักพิมพ์   :  สำนักพิมพ์เต๋าประยุกต์
พิมพ์เมื่อ      : พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2553

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ถือศีล กินเจ ใช้ชีวิต แบบให้ชีวิต โดย ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว อ่านรับประเพณีถือศีลกินผัก (กินเจ) ปี 2555 (Vegetarian festival 2012)

 
 
 

ถือศีล กินเจ ใช้ชีวิต แบบให้ชีวิต โดย ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว อ่านรับประเพณีถือศีลกินผัก (กินเจ) ปี 2555 (Vegetarian festival 2012) Story : R.ANCHALEE 





ในทุกๆ ปี ประเพณีถือศีลกินเจ หรือเรียกอีกอย่างว่า ประเพณีถือศีลกินผัก นั้น จะเริ่มต้นขึ้นทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ร้านค้า บ้านเรือน หรือตามศาลเจ้าต่างๆ จะประดับไปด้วยธงเหลือตัวอักษรสีแดง ที่อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" นั่นเองครับท่าน เรียกว่าร้านไหนมีธงเจประดับก็มั่นใจได้ว่าร้านนั้นขายอาหารเจ 100%

และสำหรับประเพณีถือศีลกินผัก (กินเจ) ปี 2555 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 15  -23 ตุลาคม 2555 นี้ บางท่านอาจเริ่มกินเจก่อนหน้าเทศกาลกินเจจะเริ่มต้นอยางเป็นทางการหนึ่งวัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" ทั้งนี้ก็เพื่อเตรียมกายใจให้พร้อมสำหรับการเริ่มต้นพิธีประเพณีถือศีลกินผัก (กินเจ) นั่นเอง

ประเพณีถือศีลกินผัก (กินเจ) นี้เป็นประเพณีนิยมที่คนไทยแทบจะทุกภาคนิยมปฏิบัติกัน เป็น 9 คืน 9 วันที่ผู้คนจะรักษาศีลละเว้นบาป งดทานเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสรรพชีวิตทั้งหลาย บางท่านทานเพื่ออยากได้บุญกุศล บางท่านทานเพื่อสืบทอดประเพณี แต่บางท่านก็ทานเพื่อสุขภาพอันหมายถึง 9 วัน ที่ร่างกายของเราจะรับแต่อาหารที่ดีต่อสุขภาพ ห่างจากสารพิษ เพราะอาหารที่ทานจะมีแต่โปรตีน ผัก และวิตามิน

สำหรับประเพณีถือศีลกินผัก (กินเจ) ที่โด่งดังที่สุดจังหวัดหนึ่ง ก็คือ ประเพณีถือศีลกินผักของจังหวัดภูเก็ต โดยทุกปีชาวจังหวัดภูเก็ตจะพร้อมใจกันแต่งกายด้วยชุดขาว และบรรยากาศทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารที่ขายแต่อาหารเจกันทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวจากจังหวัดต่างๆ ร่วมเดินทางมาร่วมประเพณีถือศีลกินผักที่จังหวัดภูเก็ตกันอย่างหนาแน่น
ทำให้ทุกช่วงเทศกาลถือศีลกินเจจังหวัดภูเก็ตจะคึกคักเป็นพิเศษ

วันนี้ The Readers Online Cafe จึงอยากจะแนะนำหนังสือที่เกี่ยวกับการกินเจอย่างถูกต้องตามหลักปฏิบัติมานำเสนอผู้อ่านทุกท่าน หนังสือ "ถือศีล กินเจ ใช้ชีวิต แบบให้ชีวิต" โดย ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว

หนังสือ "ถือศีล กินเจ ใช้ชีวิต แบบให้ชีวิต" โดย ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว นำเสนอเนื้อหาประวัติความเป็นมาของเทศกาลกินเจตั้งแต่ความหมายของเจ ความหมายของสีกับเทศกาลกินเจ ลักษณะการกินเจ อาหารเจ กับมังสวิรัติ นอกจากนั้นยังรวบรวมสูตรอาหารเจหลากหลายรสชาติที่ทำง่าย แสนอร่อย ไม่ว่าจะเป็น กุยช่ายน้ำ แกงจืดเห็ดหูหนูขาว ผัดพริกขิง ผัดกะหล่ำดอก หน่อไม้ฝรั่งผัดแปะก๊วย และอื่นๆ อีกมากมาย โดยในเล่มได้อธิบายส่วนประกอบ และวิธีทำอย่างละเอียด เข้าใจง่ายเพื่อให้คุณได้อิ่มท้องและอิ่มใจไปกับเทศการกินเจอย่างถูกหลักและได้บุญ

เนื้อหาภายใน หนังสือ "ถือศีล กินเจ ใช้ชีวิต แบบให้ชีวิต" โดย ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว ประกอบไปด้วยเรื่องราว ประวัติความเป็นมาและเรื่องราวเกี่ยวกับประเพณีถือศีล กินเจบอกถึงคุณประโยชน์ของพืชและผักชนิดต่างๆ และส่วนประกอบอาหารเจ

ท่านที่สนใจอยากศึกษาเกี่ยวกับประเพณีการกินเจอย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามหลักประเพณี ลองหาหนังสือ "ถือศีล กินเจ ใช้ชีวิต แบบให้ชีวิต" โดย ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้วมาอ่านกันครับท่าน

การไม่เบียดเบียนผู้อื่น การทำใจให้สงบ ตั้งมั่นอยู่ในความดี ย่อมทำให้ใจก่อเกิดความสุข และนี่คงเป็นผลและความหมายที่แท้จริงของการถือศีลกินเจ ว่าไหมครับท่าน?

 

ชื่อหนังสือ   :  ถือศีล กินเจ ใช้ชีวิต แบบให้ชีวิต
ชื่อผู้เขียน    :  ช่อทิพยวรรณ พันธุ์แก้ว,บก.
สำนักพิมพ์   :  สำนักพิมพ์ต้นธรรม



วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คลื่นคนวรรณกรรม : มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 17(Book Expo Thailand 2012)

คลื่นคนวรรณกรรม : มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 17(Book Expo Thailand 2012)


คลื่นคนวรรณกรรม : มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 17 : โดย...ก้อนหินริมทาง








งานนี้ เฮียกวง สั่งลุยโดยไม่สนน้องน้ำ...วรพันธ์ โลกิตสถาพร นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) บอกว่า ลุย งาน“มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 17”  ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 18-28 ตุลาคม เวลา 10.00 - 21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ในอีกไม่กี่วันนี้จะจัดยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านๆมา โดยปีนี้จัดภายใต้แนวคิด “อ่านทั่วไทย อ่านได้ อ่านดี” เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสนุกของการอ่าน ยิ่งอ่าน ยิ่งเป็นผลดีทั้งต่อตัวเองและสังคม งานนี้มีสำนักพิมพ์ชั้นนำทั่วประเทศร่วมออกงานมากถึง 425 สำนักพิมพ์ รวมกว่า 1,000 บูธ อัดแน่นเต็มพื้นที่กว่า 22,000 ตารางเมตร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ผ่านมาถึงกว่า 100 บูธ!

และเนื่องจาก ปี 2558 ประเทศของเราต้องเข้าร่วมเป็นหนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ดังนั้น เฮียกวงหรือ วรพันธ์ โลกิตสถาพร นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ เปิดเผยว่า จะต้องปูพื้นฐานความรู้ของคนไทยในทุกภูมิภาคให้เข้มแข็งเสียก่อน โดยเฉพาะความรู้ที่เกิดขึ้นจากการอ่าน พร้อมกันนี้ยังมีตัวเลขที่น่าสนใจมาบอกด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลจากผลวิจัยการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากรทั่วประเทศของสำนักงานสถิติแห่งชาติซึ่งสำรวจช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2554 จากจํานวนครัวเรือนตัวอย่างประมาณ 53,000 ครัวเรือน พบว่าอัตราการอ่านในเขตเทศบาล ร้อยละ77.7 สูงกว่านอกเขตเทศบาล ร้อยละ 61.2 โดยเด็กเล็กใน กทม.มีอัตราการอ่านสูงสุด ร้อยละ 67.2 และเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ขณะที่ภาคกลางนั้นเด็กเล็กมีอัตราการอ่านหนังสือต่ำสุด ร้อยละ 47.4  และเชื่อว่ามีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของไลฟ์สไตล์และเทคโนโลยี...ส่วนจำนวนเวลาที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการอ่านหนังสือนอกเวลาเรียนและนอกเวลาทำงานคือผู้ที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป อ่านหนังสือเฉลี่ย 35 นาทีต่อวัน โดยกลุ่มเด็กและเยาวชนใช้เวลาอ่านเฉลี่ย 40-41 นาทีต่อวันมากกว่าวัยทำงานและสูงอายุที่ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย 31-32 นาทีต่อวัน โดยครอบครัวที่ฐานะดีอ่านมากกว่าครอบครัวที่ด้อยกว่า อัตราการอ่านของคนที่ไม่ใช่เกษตรกรสูงร้อยละ 76.5 ในขณะที่ภาคเกษตรมีอัตราการอ่านเพียงร้อยละ47.3 ...สรุปแล้วสังคมชนบทไทยยังอ่านหนังสือน้อยมาก มีคนที่ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือไม่ถึงครึ่ง

ใครที่ชื่นชอบนวนิยายของ “หวงอี้” ตอนนี้สำหรับแฟนๆ คอกำลังภายในของ “หวงอี้”ที่รอคอยผลงานเรื่องใหม่ของเขานั้น...การรอคอยสิ้นสุดลงแล้ว เพราะตอนนี้ผลงานเรื่องใหม่พร้อมระเบิดความมันส์แล้ว ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรและความยาวของเรื่องกี่เล่มจบ...รวมไปถึงเนื้อหาของเรื่องจะเป็นอย่างไรนั้น “เอกระพีร์ สุขกุลพิพัฒน์”ผู้อำนวยการสายงานกองบรรณาธิการพกเก็ตบุ๊คส์ของ บมจ.สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย เจ้าของสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์  กระซิบมาว่า บอกไม่ได้เพราะเซ็นสัญญาปิดเป็นความลับดุจเดียวกับสำนักพิมพ์ในฮ่องกง, ไต้หวัน, จีน, สิงคโปร์,มาเลเซีย ฯลฯ....แต่เจอกันเร็วๆ นี้แน่นอน!!

ดาราและพิธีกรทีวีที่สวยแบบยั่งยืนต้องยกให้ "ตั๊ก-มยุรา เศวตศิลา".....ในวันอังคารที่ 9 ตุลาคม นี้ เวลา 14.00-16.00 น. ที่ร้าน บีทูเอส ชั้น 3 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เวิลด์ บริษัท มยุรา พับลิชชิ่ง จำกัด โดย มยุรา สำนักพิมพ์ ขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติและท่านสื่อมวลชน ร่วมงานเปิดตัวพ็อกเก็ตบุ๊คส์ “มหัศจรรย์ชีวิต มยุรา เศวตศิลา” เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่ง มอบให้แก่องค์กรการกุศลหลายแห่ง งานนี้แน่นอนที่สุด..มีคนดังร่วมพูดคุยบนเวทีมากมาย 

สำหรับรายนี้ก็เป็นบิ๊กโปรเจกท์ของ ดร.โชค บูลกุลนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเจ้าของ ฟาร์มโชคชัย โดยใช้เวลาเขียนหนังสือสำคัญออกมาเล่มหนึ่งนั่นคือ “ปฏิมากรรมแห่งโชค เล่มแรก ชุดปัญจภาคีเหรียญทองคำ” ซึ่งมี เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ บรรณาธิการไฟแรงเจ้าของฉายา “บอกอร้อยล้าน”แห่งสำนักพิมพ์ ณ เพชร เป็นผู้ดูแลจัดการเรื่องต้นฉบับและจัดพิมพ์อย่างดีทุกขั้นตอน เป็นหนังสือเล่มมหึมาจัดพิมพ์จำกัดเพียงครั้งเดียว ราคา 5,555 บาท โดยจะเปิดตัวในงานสัปดาห์หนังสือระดับชาติ ในวันอาทิตย์ที่ 21 ต.ค.55 เวลา 13.00 น. ณ ห้อง Meeting Room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ใครที่ลุ้น รางวัลวรรณกรรมเยาวชนแว่นแก้ว ต้องไปงานนี้นะ...บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด จัดงานประกาศผลและมอบรางวัลวรรณกรรมเยาวชน รางวัล “แว่นแก้ว” ครั้งที่ 9 ประจำปี 2555 และเปิดตัวโครงการประกวดวรรณกรรมเยาวชนรางวัล “แว่นแก้ว” ครั้งที่ 10 ประจำปี 2556  ในวันอังคารที่ 9 ตุลาคม เวลา 13.30 - 16.00 น. ณ ห้อง ห้องออดิทอเรียม บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด ซอยสุขุมวิท 31โดยได้รับเกียรติจาก ศ.เกียรติคุณ คุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ เป็นประธานและมอบรางวัล และฟังเสวนาพิเศษ “หนึ่งในทศวรรษรางวัลแว่นแก้ว: เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป วรรณกรรมไทยต้องเปลี่ยนแปลง?” โดยชมัยภร แสงกระจ่าง โตมร ศุขปรีชา และดร.ป๊อป ฐาวรา สิริพิพัฒน์ พร้อมสัมภาษณ์เปิดใจนักเขียนที่ได้รางวัลด้วย

อีกรางวัลที่สำคัญก็คือ "รางวัลสุนทรภู่" ที่ ขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติกวีร่วมสมัยให้แก่ 10 ชาติในอาเซียน ขณะนี้ทางกระทรวงวัฒนธรรม เจ้าภาพหลักแจ้งขยายเสนอรายชื่อไปจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้  ทั้งนี้ทุกท่านมีสิทธิ์ที่จะเสนอรายชื่อ และสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (ชั้น 22) 666 อาคารธนาลงกรณ์ทาวเวอร์ ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ10700 โทร. 0-2422-8947โทรสาร 0-2446-8347 E-mail: aseancocithailand@gmail.com หรือ www.m-culture.go.th


สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ขอเชิญร่วมงานเสวนา 41  ปีสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย “ความเป็นอาเซียนในงานเขียนไทย” “พินิจวรรณกรรมอาเซียน” และ “เปิดตัวหนังสือรวมเรื่องสั้นวรรณกรรมอาเซียนคัดสรร” ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 17 ในวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม  ณ  ห้องประชุม 4  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  พบกับผู้ร่วมเสวนามากมาย ยังมีกิจกรรมพบนักเขียน บรรณาธิการ ให้ความรู้และข้อแนะนำรวมถึงแบ่งปันประสบการณ์ในงานเขียนประเภทต่างๆ ในแต่ละวันด้วย ตั้งแต่ 18 -28 ตุลาคมนี้


(คลื่นคนวรรณกรรม : มหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 17 : โดย...ก้อนหินริมทาง)


ที่มา : http://www.komchadluek.net
ภาพ : อินเตอร์เน็ท

คำคมการอ่าน รวบรวมคำคมเด็ดๆ #2 -Reading Quotes compile by The Readers Online Cafe'


คำคมการอ่าน รวบรวมคำคมเด็ดๆ #2 -Reading Quotes compile by The Readers Online Cafe'  

Compile by The Readers Online Cafe'

 
The more that you read,The more things you will know.
The more that you learn,The more places you'll go.-Dr. Seuss, "I Can Read With My Eyes Shut!"
"ยิ่งคุณอ่านมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งรู้มากเท่านั้น
และยิ่งคุณเรียนรู้มากเท่าไหร่ คุณก็จะมีที่ให้ไปมากขึ้นเท่านั้น"-ดร.ซุสนักเขียนชาวอเมริกัน


“Reading without reflecting is like eating without digesting.” - Edmund Burke
"การอ่านที่ปราศจากการไต่ตรอง ก็เหมือนกับการรับประทานอาหารแล้วไม่ย่อย" - เอ็ดมุนด์ เบอร์เก้

“A good book is the best of friends, the same today and forever.” - Martin Tupper
"หนังสือดีๆ สักเล่มคือเพื่อนที่ดีที่สุดไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าวันนี้และตลอดไป" - มาร์ติน ทัปเปอร์





“Choose an author as you choose a friend.” - Sir Christopher Wren
"จงเลือกนักเขียนเหมือนที่คุณเลือกคบเพื่อนสักคน" - เซอร์ คริสโตเฟอร์ เวรน

“A man is known by the books he reads.” - Ralph Waldo Emerson
"เราจะรู้จักใครสักคนก็จากหนังสือที่เขาอ่าน"-ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน

“You can travel the world and never leave your chair when you read a book.”― Sherry K. Plummer
"คุณสามารถท่องเที่ยวไปได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องลุกจากเก้าอี้ไปไหน ขณะที่คุณอ่านหนังสือ" - เชอรี่ เค พลัมเมอร์

“Let us read and let us dance - two amusements that will never do any harm to the world.” - Voltaire
"จงอ่านเถิด และจงเต้นรำเถิด สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ให้ความบันเทิงและไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยกับโลกนี้เลย" - โวลแตร์





“Wear the old coat and buy the new book.” - Austin Phelps
"จงสวมเพียงเสื้อโค้ทเก่าๆ และไปหาซื้อหนังสือเล่มใหม่"-ออสติน เฟลส์

“tell me what you read and i'll tell you who you are.”
― François Mauriac
"บอกผมว่าคุณอ่านอะไร แล้วผมจะบอกได้ว่าตัวตนคุณเป็นยังไง" - ฟรองซัวส์ โมริยัค

“It is better to read a little and ponder a lot than to read a lot and ponder a little.” - Denis Parsons Burkitt
"มัน ดีกว่าที่คุณจะอ่านเพียงเล็กน้อยแต่คิดพิจารณาไตร่ตรองให้มากขึ้น มากกว่าการอ่านเป็นจำนวนมากแต่มีการครุ่นคิดไตร่คิดตรองเพียงเล็กน้อยเท่า นั้น"- เดนนิส พาร์สันส เบอร์กิต

“Books and doors are the same thing. You open them, and you go through into another world.”― Jeanette Winterson
"หนังสือและประตูเป็นสิ่งที่เหมือนกัน คุณเปิดมัน และคุณก็ก้าวข้ามผ่านไปยังอีกโลกหนึ่ง - เจเน็ตต์ วินเทอร์สัน"





“Beyond any gift or treasure, I desire to learn to read. (Lia ~ The Wretched of Muirwood)” ― Jeff Wheeler, The Wretched of Muirwood
"มากกว่าของขวัญและทรัพย์สิ่งของมีราคา ฉันปราถนาการการอ่านและการเรียนรู้"-เจฟฟ์ วีลเลอร์ ผู้เขียน The Wretch
ed of Muirwood


Be who you are and say what you feel because those who mind don't matter and those who matter don't mind.
-- Dr. Seuss quotes (American Writer and Cartoonist best known for his collection of children's books. 1904-1991)
"เป็น ในสิ่งที่คุณเป็น และพูดในสิ่งที่คุณรู้สึก เพราะคนที่สำคัญกับชีวิตคุณจะไม่ใส่ใจมัน ส่วนคนที่ใส่ใจมันคือคนที่ไม่สำคัญกับชีวิตคุณ"-ดร.ซุส นักเขียนชาวอเมริกัน

"ข้าพเจ้าเป็นสุข และเชื่อว่า ใครก็ตามที่มีรสนิยมการอ่านหนังสือดี ย่อมทนต่อความเงียบเหงาในทุกแห่งได้อย่างสบาย"- มหาตมะ คานธี

  

คำคมการอ่าน รวบรวมคำคมเด็ดๆ #1 -Reading Quotes compile by The Readers Online Cafe'

คำคมการอ่าน รวบรวมคำคมเด็ดๆ #1 -Reading Quotes compile by The Readers Online Cafe'  

Compile by The Readers Online Cafe'


"Today areader,tomorrow a leader." -Margaret Fuller
"วันนี้เป็นนักอ่าน พรุ่งนี้เป็นผู้นำ"― มาร์กาเร็ต ฟูลเล่อ

“To be a well-favoured man is the gift of fortune; but to write and read comes by nature.”― William Shakespeare, Much Ado About Nothing
"การเป็นบุคคลหน้าตาดี หล่อ สวย งาม นั้นเป็นของขวัญจากโชคชะตา แต่กับการอ่านและการเขียนนั้นได้มากจากคุณลักษณะนิสัย"-วิลเลียม เชกสเปียร์


 

"Reading is a basic tool in the living of a good life."― Mortimer Jerome Adler

"การอ่านเป็นพื้นฐานของการมีชีวิตที่ดี"-มอร์ติเมอร์ เจโรม เอ็ดเล่อ

"[I] read books because I love them,not because I think I shoud reade them"― Simon Van Booy

"ฉันอ่านหนังสือเพราะว่าฉันรักมัน ไม่ใช่เพราะฉันคิดว่าควรต้องอ่าน"



“Think before you speak. Read before you think.”
― Fran Lebowitz, The Fran Lebowitz Reader
"คิดก่อนที่คุณจะพูด อ่านก่อนที่คุณจะคิด" - ฟราน เลโบวิซ

“Get books, sit yourself down anywhere, and go to reading them yourself.”― Abraham Lincoln
"หยิบหนังสือ หาที่นั่งลงที่ไหนสักแห่ง และจงอ่านมันซะ"-อับราฮัม ลินคอล์น


 

“Reading—it’s the third best thing to do in bed.”
― Jarod Kintz, This Book Title is Invisible
"การอ่าน มันเป็นหนึ่งในสามสิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำบนที่นอน-จาร็อด ไคนซ์

“Books are best preserved in the minds of readers.”
― Kat Lowe, Dream Cat
"หนังสือคือสิ่งที่ทรงสงวนค่าที่สุดในจิตใจของนักอ่านทุกคน"-แคท โลว์

“[T]he first lesson reading teaches is how to be alone.”
― Jonathan Franzen, How to Be Alone

"บทเรียนแรกที่การอ่านได้สอนเราก็คือ เราจะอยู่ลำพังอย่างไร"-โจนาธาน ฟรานเซน

 

“You can never be wise unless you love reading.”
― Samuel Johnson, Boswell's Life of Johnson Vol. IV

"คุณจะไม่สามารถเป็นคนเฉลียวดฉลาดได้เลย หากคุณไม่รักที่จะอ่านหนังสือ"- ซามูเอล จอห์นสัน

“a mind needs books as a sword needs a whetstone, if it is to keep its edge...That's why I read so much...”
― George R.R. Martin, A Game of Thrones

"ใจที่ปราถนาหนังสือ เช่นเดียวกับที่ดาบต้องการหินลับมีด...ถ้ามันจะช่วยรักษาความแหลมคมแล้วล่ะก็ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงอ่านหนังสือมากมาย"-จอร์จ อาร์ อาร์ มาร์ติน


“For every book you buy, you should buy the time to read it.”― Karl Lagerfeld
"สำหรับหนังสือทุกๆ เล่มที่คุณซื้อ คุณควรจะซื้อเวลาอ่านมันด้วยล่ะ"- คาร์ล เลเกอร์ฟิลด์

“A house without books must be sad. Even sadder a house of books without people.”
― Manuel Rivas, Books Burn Badly
"บ้านที่ปราศจากหนังสือเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และยิ่งเศร้าไปกว่านั้นถ้าบ้านที่เต็มไปด้วยหนังสือแต่ปราศจากคนอ่าน" - มานูเอล ริวาส





“Read a thousand books, and your words will flow like a river.” -Lisa See, Snow Flower and the Secret Fan
"อ่านหนังสือพันเล่มสิ แล้วถ้อยคำของคุณจะหลั่งไหลพรั่งพรูดุจดั่งแม่น้ำ" - ลิซ่า ซี



“To acquire the habit of reading is to construct for yourself a refuge from almost all the miseries of life.”
― W. Somerset Maugham, Books and You
"นิสัยที่ได้รับมาจากการอ่านช่วยเสริมสร้างให้คุณรู้จักหลบพ้นภัยจากความทุกข์ทรมานเกือบทั้งปวง"- วิลเลี่ยม ซอมเมอร์เซ็ต มอห์ม


“Books are the plane, and the train, and the road. They are the destination, and the journey. They are home.”
― Anna Quindlen, How Reading Changed My Life
"หนังสือคือเครื่องบิน รถไฟ และถนนหนทาง หนังสือคือจุดหมายปลายทาง และการเดินทาง หนังสือคือบ้านของเรา"

"Rainny days are great opportunities for reading" By scampion
"ในวันที่ฝนตก เป็นโอกาสที่เยี่ยมยอดมากที่จะอ่านหนังสือ"-แสคมเปียน


 

A man only learns in two ways, one by reading, and the other by association with smarter people. - Will Rogers
"บุคคลมีการเรียนรู้อยู่สองประเภท คือ หนึ่ง เรียนรู้โดยการอ่าน และสองคือ การเรียนรู้โดยการสมาคมกับบุคคลที่ฉลาด"-วิล โรเจอรส์

“The man who does not read good books has no advantage over the man who can't read.” - Mark Twain
"คนที่ไม่รู้จักอ่านหนังสือดีๆ ก็ไม่ได้เปรียบไปกว่าคนที่อ่านหนังสือไม่ได้แม้แต่น้อย" - มาร์ก เทวน

“Reading has given me more satisfaction than really anything else.” - Fashion designer Bill Blass, quoted in Worth (September 1999)
"การอ่านทำให้ฉันรู้สึกพึงพอใจมากกว่าสิ่งอื่นใดอย่างแท้จริง" -บิล บาร์ส แฟชั่นดีไซเนอร์


“A home without books is a body without soul.” - Marcus Tullius Cicero
"บ้านที่ปราศจากหนังสือ ก็เปรียบได้กับกับร่างกายที่ปราศจากจิตวิญญาณ" - Marcus Tullius Cicero

“Always read something that will make you look good if you die in the middle of it.”
"จงอ่านหนังสืออยู่เสมอ นั่นจะทำให้คุณดูดีมากถ้าคุณจะตายท่ามกลางมัน" - P. J. O'Rourke

“I never desire to converse with a man who has written more than he has read.”
Samuel Johnson, Johnsonian Miscellanies - Vol II
"ฉันไม่เคยปราถนาจะสนทนากับใครที่เขียนมากกว่าอ่านเลย" - ซามูเอล จอห์นสัน

“Babies are born with the instinct to speak, the way spiders are born with the instinct to spin webs. You don't need to train babies to speak; they just do. But reading is different.” - Steven Pinker
"เด็กทารกเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณในการพูด เช่นเดียวกับแมงมุมที่เกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณในการสร้างใย คุณไม่จำเป็นต้องฝึกให้เด็กพูด พวกเขาจะพูดมันออกมาเอง.....แต่ทว่าการอ่านนั้นแตกต่างไป" - สตีเฟ่น พิงก์เก้อ


“There is no substitute for books in the life of a child.”- May Ellen Chase
"ไม่มีอะไรจะมาแทนที่หนังสือได้ในชีวิตของเด็ก" - เมย์ อัลเลน เชส




วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โหลดฟรี ต่วยตูน พิเศษ ฉบับเดือนตุลาคม 2555


โหลดฟรี ต่วยตูน พิเศษ ฉบับเดือนตุลาคม 2555  
โหลดฟรี! ต่วยตูน พิเศษ ฉบับเดือนตุลาคม 2555



-เรือโคบุกซอน เรือรบหุ้มเกราะลำแรกของโลก/วัชรพงศ์ ทัศนบรรจง

ใน ช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา ได้มีการประดิษฐ์เรือรบหุ้มเกราะขึ้น เพื่อใช้โจมตีเรือรบของอีกฝ่าย(ที่ยังเป็นไม้) แต่ทว่ามีน้อยคนนักที่รู้ว่ามีเรือรบหุ้มเกราะถือกำเนิดขึ้นก่อนหน้านั้น เป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว โดยเรือรบหุ้มเกราะได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลี มันมีชื่อว่า โคบุกซอน

-เปิดทฤษฎีใหม่ ตุตันคาเมนถูกฮิปโปสังหาร/เคเมต เซช

เมื่อ ดูจากสภาพของมัมมี่แล้วลองจินตนาการดูว่าสาเหตุใดบ้างที่จะสามารถทำให้เกิด แผลร้ายแรงขึ้นที่ทรวงอกเช่นนี้ได้ หนึ่งในนั้นก็คือการถูกสัตว์ร้ายในยุคนั้นตะปบเอา แล้วมีสัตว์ใดบ้างล่ะที่จะทำเช่นนั้นได้ หนึ่งเดียวที่นักอียิปต์วิทยาโยนตำแหน่ง “ผู้ต้องหา” ให้ก็คือ “ฮิปโปโปเตมัส”

-10 อันดับหนุ่มพรหมจารีแห่งประวัติศาสตร์ / หลานไดโนเสาร์

เห็น เพียงคำว่าพรหมจารีก็น่าสนใจยิ่ง ถ้าจะบอกว่า นิวตั้น คานธี และศิลปินก้องโลกแนวอิมเพรสชั่นนามเดกาส คนเหล่านี้รักษาความบริสุทธิ์ได้จนวันสุดท้ายของชีวิต คุณจะเชื่อไหม อีกทั้งกษัตริย์ นักดนตรี และนักปรัชญาชื่อดัง เหตุใด และการดลใจจากอะไร ที่ทำให้คนเหล่านั้นครองสถานะนั้นเรื่อยไปจนสิ้นลม

-ชีวิตลูกบุคคลสำคัญ/แสงเทียน

เรา มีสุภาษิตที่ว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ทว่าบนหน้าประวัติศาสตร์โลกก็ได้พิสูจน์แล้วว่าที่กระดอนห่างไกลต้นนั้นก็มี มาก นักเดินทางเช่นโคลัมบัส นักวิทยาศาสตร์นามอุโฆษอย่างไอน์สไตน์ เอดิสัน กาลิเลโอ มหาคตีกวียิ่งใหญ่นามบาค มหาจักรพรรดิ์นโปเลียน ฯลฯ ลูกๆของเขาเติบโตมาเป็นเช่นไร ความสามารถที่บรรพบุรุษเคยมีนั้นได้ติดตัวมามากน้อยแค่ไหน...ชีวิตลูกบุคคล สำคัญ

-สารบัญ

10 กล็อบสเตอร์และซากลึกลับจากทะเล/ไตเติ้ล – ข่าวเด่นในรอบเดือน/ชาติวิบูลย์ – ว่าด้วยดวงดาวและการออกแบบพีระมิด/สืบ สิบสาม – เมื่อคิริบาส สิ้ชาติสิ้นแผ่นดิน/น้อง หน้าแป้น – ภาพเหมือนบุคคล ฝีมือเซซาน/รศ.อัศนีย์ ชูอรุณ – อาคารคล้ายงานต่างดาว/สวเรศ เกตุสุวรรณ – การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่นอกโลก/พลูโต – มนุษย์สุดเพี้ยน จักรพรรด์ผู้ยากไร้/อุดร จารุรัตน์ – เผยเอกสารลับสุดยอด การตายของลูกชายสตาลิน/ทิวาพร – ญี่ปุ่น เมืองปิดที่ถูกเปิด/ไอแสค อาสิระ – กำเนิดดวงจันทร์/หมอเมืองสยาม - อาชาในหน้าประวัติศาสตร์/นพ.กฤษดา ศิรามพุช – แพร์เริสก่อกำเนิดคอร์รัปชั่น/ศ.กีรติ บุญเจือ – ดยุคแห่งมาร์ลโบโร่/แดง ชารี – เผยโฉมจิ้งจกยักษ์ที่สุดในโลก/ศิริชัย อาชา – สุวรรณภูมิที่โลกไม่รู้จัก/นายขยะ – เประเพณีทำศพด้วยนกหัสดีลิงค์ฯ/แก้วนิลกาฬ - หล็กไหล(๑)/เตียวกง – เปิดกรุราชวงศ์ฮั่น/เออร์ลี่โถว – หมอมัจจุราช/ล่องลอย ลมทะเล – สุดยอดคุณหมอสติเฟื่อง(ตอนจบ)/นพ.ประวิตร พิศาลบุตร – ผีสึนามิ/คนข่าวพเนจร


ที่มา : http://www.ebooks.in.th