วันจันทร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2558

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : วีรกรรมการได้มาของอเมริกันวีซ่าสุดอัศจรรย์ (Obtaining a United States visa)

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : วีรกรรมการได้มาของอเมริกันวีซ่าสุดอัศจรรย์ (Obtaining a United States visa)


วีรกรรมการได้มาของอเมริกันวีซ่าสุดอัศจรรย์

ต้องเล่าย้อนไปถึงเมื่อสี่ปีที่แล้ว ที่มาของการได้วีซ่าอเมริกาก็ต้องบอกว่าไม่ธรรมดา งานนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ข้ามากับพระเจ้า" ก็ไม่รูู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

.........สี่ปีทีแล้ว..........

ไอ้เอ : "เฮ้ยขอวีซ่าอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่าย" ต้องซื้อใบสมัครลงทะเบียนที่ไปรษณีย์ 4500 บาท แล้วมึงก็เอามากรอกทางอินเตอร์เน็ต แต่มึงต้องกรอกให้ทันเวลานะเว้ย ไม่งั้นมึงเริ่มใหม่หมด แล้วเอกสารต้องเตรียมให้พร้อม มึงต้องหาข้อมูลการสัมภาษณ์ไว้ด้วย จะได้ซ้อมไว้ก่อน แล้วมึง มึงต้องไปให้ถึงตีห้าต่อแถว รูปนี่ต้องให้เห็นหูนะมึง ไม่งั้นมึงต้องไปถ่ายใหม่ ต้องห้ามโน่น นี่ นั่น บลาๆๆๆ"

ข้าพเจ้า : ห่ะ! ยุ่งยากสัด (คิดถอดใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มละ)
ไอ้เอ : "ก็กูบอกแล้วว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้ามึงขอได้นะ ต่อไปมึงจะไปประเทศไหนก็ได้ในโลก ขอวีซ่าอเมริกาแม่งยากสัด"
ข้าพเจ้า : ไม่รู้ลองดูละกัน วางใจในพระเจ้าว่ะ
ไอ้เอ : "เออ แล้วสเตรทเม้นท์นี่ก็สำคัญ ต้องเดินสวยๆ บางคนมีเป็นล้านยังไม่ผ่านเล๊ย สัด!"
ข้าพเจ้า : (กำลังนึกถึงบัญชีธนาคาร ยอดกูคงเหลือ 0.88 สตางค์ถ้วน แต่ไม่กล้าบอกมัน เดี๋ยวแม่งไซโคกูอีก แค่นี้ก็ถอดใจไป 85% แล้ว ไอ้สัด!) มึงจะพููดเพื่อ???!!! พูดจนกูกลัวไม่อยากไปสมัครแล้วเนี่ย สัด
(ขออภัยที่สัดเยอะไปหน่อย ข้าพเจ้าติดสัดก็เพราะมันนี่แหละ)
ไอ้เอ : หึ กูไม่ได้พูดให้มึงกลัว กูแค่เตือนมึงว่า มันไม่ง่าย

คือไม่แน่ใจอ่ะว่ามันคิดอะไร ประสงค์ดีหรือร้าย แต่เท่าที่ฟังมันพูดมา โลกนี้ช่างโหดร้าย สัด!
กลับมาที่ห้องนอนเอามือก่ายหน้าผาก นอนคิด มีเครื่องหมายคำพูดของไอ้เอวิ้งเต็มฝ้าเพดาน 
ข้าจะไปสมัครดีไหมวะเนี่ย ตั้งสี่พันห้า ไม่ได้เสียดายตังค์ชิบ แต่ก็ตัดสินใจไปซื้อใบสมัครลงทะเบียนจนได้ ป๊าก็ห้ามว่าอย่าเลย เราไม่มีอะไรเลยนะ เสียดายตังค์เปล่าๆ ลูก แต่ตอนนั้นคือเสียตังค์ไปละ ถอยไม่ได้ กรอกฟอร์มทางเน็ตไปเรียบร้อยแล้ว เป็นภาษาอังกฤษที่แม่งแปลไม่ออกเลย (คือมันไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่แปลไม่ได้เอง) ตอนนั้นบอกตรงๆ ใจฝ่อเหี่ยวเหมือนเม็ดลูกเกด แต่แล้วก็ถึงวันกำหนดไปสัมภาษณ์

ตื่นตีสามครึ่ง นั่งกระดิกเท้า แต๊กๆๆๆ ไปดีไหมวะ ไปดีไหม เอาวะ เลยอธิษฐานกับพระเจ้าว่า พระเจ้าลูกไม่มีอะไรเลยนะ ลูกมีแต่พระองค์นี่ล่ะไปด้วยกันกับลูกนะ ขอให้ลูกผ่านด้วยเถอะ งานนี้ความหวังไม่มี อาศัยความเชื่อล้วนๆ

พอไปถึงคนต่อแถวยาวมาก กว่าจะฝ่าด่านเข้าสถานทูตสหรัฐอเมริกามันได้นี่ เหมือนคนเกาหลีเหนือลักลอบมุดรั้วไปเกาหลีใต้ คือหลายด่านมาก แล้วเช็คแล้วเช็คอีก 

มียัยป้าหน้าตาเหมือนมาม่า บลูส์ อยู่คนหนึ่งคอยตรวจเช็คข้าวของ คนอื่นเข้าให้ถุงซิปล็อกอย่างดีใส่สิ่งของมีค่า แต่กับข้าพเจ้ามันให้ตะกร้ามาใบนึง ป้าคงเห็นมีแค่โทรศัพท์เน่าๆ เครื่องๆ นึง กับเศษเหรียญ
และแฟ้มเอกสาร คือถ้าไม่เป็นกฎ ป้าคงให้ข้าพเจ้าเอาเศษขยะติดตัวเข้าไปด้วยเปลืองตะกร้ามัน

อย่างสัตย์จริงตอนนั้นนึกถึงภาพห้องอาหารในฮอว์กกวอต มีไฟส้มๆ ทึมๆ ติดอยู่ทุกมุมเสา แล้วก็มีเก้าอี้วางตัวนึง ข้าพเจ้านั่งตัวสั่นเทา แล้วก็มีเจ้าหน้าที่หน้าตาถมึงทึงนั่งอยู่บนบัลลังค์ผู้พิพากษา
.....อืม ห้องสัมภาษณ์คงประมาณนี้ล่ะมั๊ง............(คือมึงมโนไปไกลมากอ่ะ)

เจ้าหน้าที่ตรวจเอกสารทำเหมือนไม่เห็นข้าพเจ้า มันไม่ถงไม่ถามอะไรสักคำ นอกจากพิสูจน์รูปว่าเห็นหูชัดเจน คือแปลกใจเหมือนทุกคนน่ะ หูมันสำคัญขนาดไหนวะ มึงต้องตรวจกันจริงจังขนาดนี้
และแล้วก็ไปต่อแถวเพื่อรอสัมภาษณ์ ไอ้มโนต่างๆ ภาพห้องอาหารในฮอว์กกวอต มีไฟส้มๆ ทึมๆ ติดอยู่ทุกมุมเสา แล้วก็มีเก้าอี้วางตัวนึงข้าพเจ้านั่งตัวสั่นเทา แล้วก็มีเจ้าหน้าที่หน้าตาถมึงทึงนั่งอยู่บนบัลลังค์ผู้พิพากษา ไม่มีซักอย่าง! มันก็ออฟฟิศธรรมดา แบ่งเป็นคอกๆ นี่แหละ อารมณ์เหมือนมาฝากเงินธนาคาร

ฝรั่งหนุ่มหน้าตาดี รายหนึ่งยิ้มให้ "สวัสดีครับ" 
เฮ้ยพูดไทยโคตรชัดเลยว่ะ แต่หลังจากนั้นนางพ่นไฟถามคำถามเป็นภาษาอังกฤษรัวมาเป็นชุด
ข้าพเจ้ายิ้มหน้าโง่ๆ ท่าเด็ดไม้ตาย เวลาใครมาพูดอังกฤษด้วย

เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา : %^*(&*)(+&#@^&)_(((^$#@@@ ?
(อึดอัด อักอึก เหมือนคนกำลังจะจมน้ำตาย กลัวมาก แม่งพูดไรกูแปลไม่ออก เอาวะ คำนี้แหละ)

ข้าพเจ้า : ...............เย๋สสสส์ส ยิ้มพิมพ์ใจ

เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา : (ทำหน้าผงะ คิ้วขมวด สีหน้าเคร่งเครียด แล้วถามต่อ) %^*(&*)(+&#@^&)_(((^$#@@@ ?

ข้าพเจ้า : (มันถามอีกแล้วเว้ย คือมันไม่เข้าใจไงว่าข้าแปลไม่ออก!) 
........หืม? (ตามด้วยวลีอมตะ) Sorry, I am not good at English แล้วก็
ยิ้มมมมมมมมมมมมพิมพ์ใจ พยักหน้า เย๋สสสสสส เย๋สสสสสสส

เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา : (สีหน้าเคร่งเครียดกว่าเดิม แล้วถามต่อ) %^*(&*)(+&#@^&)_(((^$#@@@ ?

ข้าพเจ้า : ..............ฮะ ฮะ (แม่งไม่รู้ถามไรกูหัวเราะไว้ก่อน) หืมมมมม? ส้อหรี อะเกน พลี๋ส
หืมมมมม อ๊าๆ เย๋สสสสสส เย๋สสสสสส

คราวนี้เจ้าหน้าที่ระเบิดหัวเราะคิกๆๆๆๆ ไม่หยุด แล้วก็พูดว่า

"เอิ่ม ผมว่าคุณต้องเข้าใจอะไรผิดสักอย่าง" ภาษาไทยชัดเปรี๊ยะ อ้าวไอ้สัด! แล้วทำไมไม่ถามเป็นภาษาไทยแต่แรกวะ นางยังหัวเราะคิกๆๆๆ พูดกับข้าเป็นภาษาไทย
"ในฟอร์มนี้ถามว่า คุณเป็นโสเภณีใช่หรือไม่?
คุณตอบ yes
"ข้อนี้ถามว่า คุณเคยพาเด็กไปค้าประเวณีที่สหรัฐอเมริกาหรือไม่?"
คุณตอบ yes
"ส่วนข้อนี้ถามว่า คุณเป็นอาชญากรข้ามชาติใช่หรือไม่?"
คุณตอบ yes
ข้าพเจ้าหน้าซีด หมดแล้วกูสี่พันห้า
"โน๋วๆๆๆ ไอ แอม อะ กูู๊ด กาย หนาา(หนาคือคำสร้อย)"

ฝรั่งมองหน้า แล้วคงคิดในใจว่า ไอ้อ้วนนี่แม่งโง่ขนาดนี้คงไม่มีปัญญาไปวางระเบิดบ้านมันแน่
แล้วมันโง่ภาษาอังกฤษขนาดนี้ถ้ามันโดดร่ม คงตายที่ไหนสักที่ในอเมริกาเองแหละ
"OK. You Passed!"

อึ้งไปสามวิ "หืมมมมมม ยังไงนะ ฉัน ฉัน คุณไปขอดูกล้องวงจรณ์ปิดที่สถานทูตดูได้เทปเมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว จะเห็นไอ้อ้วนหน้าโง่ ทำหน้าเหวอ เหวอ เหวอ วิญญาณได้ออกจากร่างเป็นที่เรียบร้อย เดินออกจากสถานทูตเหมือนยืนอยู่บนดอลลี่ เดินเบาๆ มึนๆ "โอเค ไอ กี๊ฟ ยูว ฟอร์ เท็น เยียส์ เวลคัม ทู ยูไนเต็ดเสตร็ท"

พระเจ้า! พระเจ้า! พระเจ้า! พระเจ้า! ลูกผ่านแล้ว พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ (น้ำตาซึม)
เดินไปนั่งสตาร์บัค กินอะไรร้อนๆ เรียกสติคืน มีไฮโซสองนางนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ทำหน้าหงุดหงิด
บ่นกระปอดกระแปด "เออชั้นเซ็งมากอ่ะแก นี่รอบที่สามแล้วนะแก มันไม่ให้ผ่าน อะไรเนี่ย ฉันไม่เข้าใจ สเตรทเม้นท์ก็เอาไปใส่สวยๆ แล้วนะ"

ข้าพเจ้าซึ่งนั่งโต๊ะข้างๆ เอามือป้องปาก แอบหัวเราะคิกๆๆๆ "กูมีแค่ 0.88สตางค์ว่ะ ฮี่ ฮี่"




วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : fall in love with airhostess พบรักบนสายการบิน กับน้องแอร์โฮสเตสผู้เลอโฉม

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : fall in love with airhostess


พบรักบนสายการบิน กับน้องแอร์โฮสเตสผู้เลอโฉม

December 26, 2013

เช้านี้ที่เซี่ยงไฮ้หนาวมาก ตื่นเต้นเล็กๆ ที่พูดแล้วควันออกจากปาก (ตื่นเต้นทำไม เอ้าก็คนมันไม่ค่อยเจออากาศหนาวแบบนี้น๊อ) โถชักโครกนี่คือหย่อนก้นลงไม่ได้เลย เหมือนนั่งลงไปบนโถน้ำแข็ง ทรมานตูดมาก ต้องดึงทิชชู่มารองอย่างหนา เปิดน้ำให้ร้อนที่สุดเพื่อจะได้อาบน้ำและยังมีชีวิตรอดออกไป

10.00 น.ได้เวลาเช็คเอาท์ ตาลุงคนเดิมช่วยหิ้วสัมภาระที่คิดว่ามากกว่า 80 กิโล กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบละ 30 กิโล เป้ 2-3 ใบอีกเกือบยี่สิบกิโล เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้พระเจ้า เพราะน้ำหนักที่สายการบินกำหนดไว้คือ กระเป๋า 2 ใบ ใบละไม่เกิน 30 กิโล ข้าพเจ้ายัดเต็มแม็กซ์ และกระเป๋าเป้ขึ้นเครื่องได้อีกแค่ 1 ใบ ไม่เกิน 10 กิโล ถ้าเกินกว่านี้คุณต้องเสียเพิ่มอีก 5,000 บาท มีหรือที่ข้าพเจ้าจะยอม ถึงกับเปิดยูทูปเพื่อดูการจัดกระเป๋าขั้นเทพ ให้สัมภาระทุกสิ่งสามารถบรรจุอยู่ในกระเป๋าได้มากที่สุด แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เนื่องจากน้ำหนักยังคงเท่าเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือการยัดส่วนเกินลงไปในกระเป๋าเป้ได้มากขึ้น

ข้าพเจ้าขอบคุณคุณลุงที่ช่วยหอบหิ้วสัมภาระอย่างแข็งขัน โดยการยื่นบุหนี่ให้หนึ่งซอง แกทำหน้าดีใจมาก เพราะคนที่นี่สูบบุหรี่จัด การให้บุหรี่น่าจะเป็นของขวัญอันล้ำค่าสำหรับคนที่นี่ เรื่องมะเร็งนี่เราไม่หวงอยู่แล้ว แบ่งๆ กันเป็นละกันนะฮะ คราไปสนามบินครานี้มีผู้โดยสารจีนอีกสองนางนั่งไปในรถตู้ด้วย และก็ตามคาด นางนั่งดูดบุหรี่ปุ๋ยๆ ไม่เว้นแม้ตาลุงคนขับ ขนาดเป็นคนสูบบุหรี่ ยังรู้สึกเหม็นหายใจไม่ออก
เพราะที่เมืองไทยเราทำแบบนี้ไม่ได้ คนสูบบุหรี่ดูน่ารังเกียจในที่สาธารณะชน เรื่องนี้พี่ไทยมีดีกว่าเขานะฮะ

ระหว่างที่หายใจไม่ออกก็ตกใจสุดขีด ไอ้เชี้ย! ลุงแม่งอยู่เลนส์ซ้ายสุดแต่แม่งขับทแยงมุม 30 องศา เพื่อไปยังเลนส์ขวาสุด แล้วรถที่ตามมาเพียบครับ หัวใจจะวายแต่นางขับเหมือนเป็นเรื่องสามัญที่สุด แล้วก็ต้องงงกับคนใช้รถยนต์ที่นี่ เพราะขณะที่ติดไฟแดง อิรถตู้มาจากฝั่งขวา แม่งจอดคากลางสี่แยกเลยครับ เพียงเพราะว่ามันเจอคนรู้จัก มันลงจากรถเดินเนิบๆ ไปทักทายเพื่อนมันที่ขับมาจากอีกฝั่ง พูดคุยหัวเราะกันประมาณหนึ่งถึงสองนาที แล้วมันก็กลับขึ้นรถไปต่อ เรื่องนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ Unseen in Shanghai ที่สร้างความประหลาดใจให้คนไทยตัวอ้วนๆ ตาดำๆ คนหนึ่งเป็นอย่างมาก


พอไปถึงสนามบินผูู่ตงคราวนี้ไม่พลาด รีบไปเช็คอินโดนเร็วพลัน ทั้งที่เวลาบินประมาณบ่ายนิดๆ แต่ก็มามีปัญหาว่าน้ำหนักกระเป๋าเกินอีก พนักงานเช็คอินที่เคานท์เตอร์จะไม่ยอมให้โหลดขึ้นเครื่อง ข้าพเจ้าเอาพระเจ้าเข้าสู้ อธิษฐานในใจพระเจ้าลูกไม่อยากเสียเงินเพิ่มนะ ช่วยให้ลูกผ่านด่านนี้ไปได้ด้วยเถิด แล้วข้าพเจ้าก็ทำหน้ามึนบอกว่า ก็ตอนออกมาจากไทยก็ไม่เห็นมีใครทักอะไรเลยนี่ เนี่ยใบโหลดก็ยังอยู่เนี่ย ยื่นให้นางดู พวกนางก็วุ่นวายเช็คกันใหญ่ว่าอินี่รอดมาได้อย่างไร ไม่รู้ล่ะข้าไม่สน ไม่มีทางที่ข้าพเจ้าจะเสียเงินเพิ่ม 5,000 บาทแน่นอน สุดท้ายก็ขอบคุณพระเจ้าที่พนักงานปล่อยเราเข้าเกท 

ขอเตือนเลยนะว่าใครที่คิดจะเดินทางไปไหน อย่าบ้าสมบัติ เอาเท่าที่จำเป็น ที่ข้าพเจ้าขนไปนั้นเหมือนราวกับว่าจะย้ายบ้านไปอยู่อเมริกาแบบถาวร คือปกติเป็นคนบ้าสมบัติอยู่แล้วอะไรที่ดูเป็นของไร้สาระในสายตาคนอื่น แต่มีค่าทางใจกับข้าพเจ้าข้าพเจ้าก็ขนไปหมด เช่นรูปพ่อแม่ ตุ๊กตาที่สาวเคยให้ ฯลฯ โดยเฉพาะหนังสือนั้นคาดว่าอ่านได้ถึงสองปีเต็ม ถือเป็นความผิดพลาดยันชั่วชีวิต คือ เหนื่อยห่านราก!! กับการหอบสัมภาระและสังขารไปมาภายในสนามบินหรือ ระหว่างสนามบินกับที่พัก 

และก็มาเจอปัญหาอีก คือก่อนเข้าเกทพี่ตำรวจจีนที่หน้าแม่งหน้ามึนกว่าข้าพเจ้าสิบเท่า นางไม่ยอมปล่อยให้ข้าพเจ้าแบกเป้ 2 ใบขึ้นเครื่อง พูดคำเดียวว่า One backpack ก็ต้องออกมานั่งจัดใหม่ เอากระเป๋ายัดเข้าไปในกระเป๋า เสื้อผ้ามัดตัวได้มัดหมด ผ้าขาวม้า เสื้อหนาว ถุงมือ หมวก คืออารมณ์กูหนาวมาก แล้วก็หัวหมอเอาถุงพลาสติกที่ยัดมาด้วย ใส่ของกระจุ๊กกระจิ๊กอีกเล็กน้อย 9.87 กิโล ผ่าน!!

นั่งนอนรอที่เกทคราวนี้ไม่พลาด จองแม่งหน้าประตูทางเข้าเลย เดินไปย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่า ถ้ากูหลับ เมิงช่วยปลุกกูด้วยนะ ต้องปลุกนะ เข้าใจไหม?! แล้วก็ทอดตัวลงนอนอย่างสบายใจ แต่มันไม่หลับเว้ยเฮ้ย การตกเครื่องบินจากเมื่อวานยังทำให้จิตหลอนอยู่ หลับตา ลืมตา หลับตา ลืมตา เรียกขึ้นเครื่องหรือยัง ทำอยู่อย่างนั้น จนได้เวลาขึ้นเครื่องจริงๆ สภาพตอนนั้นเหมือนเพิ่งกลับจากรบที่อัฟกานิสถาน นั่งเครื่องปุ๊บ กูหลับปั๊บข่าาา ดูเหมือนอากาศที่เปลี่ยนอย่างกระทันหันจะทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการป่วย

ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงหวานๆ ของแอร์โฮสเตสนางหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาแล้วก็อึ้ง นี่มัน จางมั่นอวี้ ชัดๆ ใจข้าพเจ้าเต้นตุบๆ หน้าแดง นางถามเบาๆ ว่ารับน้ำอะไรดี มองไปที่แอร์คนอื่นๆ รู้สึกขอบคุณพระเจ้า
มีกูคนเดียวที่เจอนางฟ้าเข้าให้แล้ว ขนาดข้าพเจ้าพูดอังกฤษไม่ได้เรื่องเลย ก็ยังพอรู้ว่าแอร์พวกนี้เขาใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าพูดอังกฤษไม่รู้เรื่อง หรือนางโต้ตอบไม่ได้ ทำให้มีความลำบากในการสื่อสารประมาณหนึ่ง ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ เครื่องบินเห็นแอร์โฮสเตสอีกหลายคน ก็เกิดความสงสัยว่ามาตรฐานการรับแอร์โฮสเตสของสายการบินนี้อยู่ที่ไหน หน้าตา? น้องคนสวยที่โอบองแปงแถวออฟฟิศสวยกว่าสิบเท่า ภาษา? ไม่น่าใช่ ดูพวกนางตะกุกตะกักไม่คล่องแคล่ว ถึงได้บอกว่าใครที่อยากเป็นแอร์ฯ แต่คิดว่าตัวเองสวยหลบในมากๆ หน้าตาดูมีอายุสามสิบกว่าขึ้นไป ลองมาสมัครที่นี่่ คุณอาจยังมีหวัง

แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรจะดึงความสนใจข้าพเจ้าไปได้มากกว่าน้องจางมั่นอวี้ของข้าพเจ้าอีกแล้ว ข้าพเจ้ามีอาการปวดหัวเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าอาการป่วยนี้จะหนักมากเมื่อน้องจางหมั่นอวี้มาถามไถ่ นางเดินมาถามหลายรอบว่ายูโอเคไหม พี่น่ะโอเค แต่ใจพี่น่ะหายไปกับน้องแล้ว คนอะไรน่ารัก สวยเเป็นบ้า อ่อนโยนอีกต่างหาก คือถ้าเขายอมนะกูก็อยากชวนเขาให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันอยู่หรอก แต่คิดว่านางคงไม่เลือกเส้นทางชีวิตที่ตกต่ำ

แอบถ่ายรูปนาง ยิ้มให้ทุกครั้งที่นางเดินผ่าน แล้วก็เปิดดิกในโทรศัพท์ เขียนเป็นภาษาจีนใส่กระดาษ ใจความว่า "ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลฉัน ฉันซาบซึ้งใจมาก" นางเดินผ่านมาอีกทีข้าพเจ้าก็ยกกระดาษนั้นให้นางดู ด้วยความที่เขียนภาษาจีนไม่เป็น นางค่อยๆ อ่าน แล้วก็ยิ้มออกมากว้างๆ อุทานว่าโอว ยูเขียนภาษาจีนได้ด้วยหรือ ชมอีกต่างหากว่าเขียนสวยนะ ข้าพเจ้าปฏิเสธบอกว่าเปิดดิกชันนารีเอา คราวนี้นางยิ่งมาดูแลดีกว่าเดิมอีก นางเอายาแก้ปวดมาให้พร้อมกับน้ำอุ่นๆ เดินมามาถามไถ่อาการอยู่หลายรอบ เป็นความป่วยที่สุขใจเป็นบ้า

ข้าพเจ้าตะโกนออกไป หว่ออออ อ้ายยยยย หนี่่่  แล้วก็นอนหลับฝันต่อบนเครื่องจนถึงลอสแองเจลลิส (งานมโนฮะ)



God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : Merry Christmas at Shanghai

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : Merry Christmas at Shanghai

December 25, 2013 20.30น.
ย้อนกลับไปที่สนามบินนานาชาติผู่ตง ตอนที่รู้ว่าตัวเองตกเครื่อง ตอนนั้นรู้สึกชีวิตเคว้งคว้าง ไม่ปลอดภัย ไร้ญาติขาดมิตร มวลอากาศมันอึมๆ ครึมๆ
เหมือนเดินผ่านฉากหนังของหว่องกาไว เดินผ่านพระเอกไป ขณะที่พระเอกกำลังตัดสินใจว่าจะหนีนางเอกไปที่ไหนดีนะ ไปที่ไหนนะ ที่ไหนนะ ที่ไหนนะ นะ นะ ได้ยินเสียงพันธมิตรพากษ์ออกมาก้องกังวาล
กำหนดบินคือวันถัดไป ขณะนั้นเวลาท้องถิ่นประมาณ 20.30น. ต้องโทรไปบอกแม่ เพื่อขอเงิน บอกตรงๆ ตอนนั้นมีเงินติดตัวแค่ 30 ดอลลาร์ อย่างไรก็ไม่พอจ่ายค่าโรงแรมแน่นอน
เดินว่อนหาตู้โทรศัพท์ จะหายากไปไหน อาจจะเพราะเราไม่เคยมาที่นี่มาก่อน อะไรๆ ก็ดูไม่คุ้นชินไม่เสียหมด พอเจอตู้โทรศัพท์ตอนนั้นดีใจมาก แล้วก็เหมือนมีคนมากระชากเข้าป่าละเมาะข้างทาง "มันใช้ยังไงวะครับ!?" แล้วแบบไหนมันคือตู้แบบอินเตอร์เนชั่นแนล? ยืนอึ้ง คือจะภาษาจีนล้วนไปไหน ต้องแกะลายแทงจากรูปเพื่อจะดูว่ามันใช้งานยังไง สุดท้าย ต้องยอมแพ้ครับ มันสงวนตู้โทรศัพท์ไว้ให้คนในชาติมันเท่านั้น คือมึงสร้างเองเข้าใจกันเอง แกะลายแทงมาได้หนึ่งอย่างคือ ต้องใช้เงินหยวนเท่านั้น แล้วผมจะไปหาจากไหนครับพี่! เวลานี้ สักหยวนก็ไม่มี จะเอาดอลลาร์ไปแลกเคาน์เตอร์เงินก็ปิดหมดแล้ว แล้วว้อนท์โทรศัพท์มาก ต้องโทรไปหาแม่
จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ บอกว่าต้องการใช้โทรศัพท์ เพื่อโทรกลับเมืองไทย นางลิ้มกิมฮวงที่สีหน้าไม่รับแขก มันพูดอังกฤษไม่ได้ กูพูดอังกฤษไม่ได้ กว่าจะทราบความว่า เราต้องเอาเงินหยวนมาจ่ายเท่านั้นถึงจะใช้โทรศัพท์ของสำนักงานออฟฟิศได้ อยากจะกรีดร้อง ฟูมฟาย คลุ้มคลั่ง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่นางลิ้มกิมฮวงก็ไม่สะทกสะท้าน ข้าพเจ้ายื่นดอลลาร์ให้แม่นาง แต่แม่นางส่ายหน้าพร้อมกับทำสีหน้าเบื่อหน่าย พูดยานๆ คำเดียว "โน โน"
โนของเมิงนี่คืออะไร โนไม่ให้ใช้โทรศัพท์ โนไม่พูดอังกฤษ หรือโนไม่เอาดอลลาร์ เมิงช่วยใบ้คำให้กูอีกนิดได้ไม๊ครับ! ขณะนั้นก็มีเจ้าหน้าที่สนามบินที่พอจะพูดภาษาอังกฤษได้ ก็เข้าไปถามแม่นางลิ้มกิมฮวง เหมือนจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้อ้วนนี่มาโวยวายอะไร พอได้ความเจ้าหน้าที่ก็เลยชี้มาที่ดอลลาร์ แล้วพูดว่า exchange ชูสองนิ้ว อะไร 2 เหรียญเหรอ? โน เทวนตี้ ...เทวนตี้ คือตอนนั้นเหนื่อยมากๆ แล้ว เอาไงก็เอา ได้เงินหยวนมา 100 หยวน ให้ดอลลาร์ไป 20 ดอลลาร์ ขาดทุนร้อยนึง แต่ตอนนี้ช่างแม่งแล้วครับ รีบโทรหาแม่ แม่โดนแม่ด่าจนมึน แต่ตอนนั้นไม่รับรู้อะไรแล้ว วิญญาณออกจากร่างไปตั้งแต่ตอนแกะลายแทงที่ตู้โทรศัพท์แล้ว
นั่งๆ นอนๆ รอแม่โอนเงินมา ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่มีโรงแรมนี่หว่า เจออีกปัญหาละ คือคืนนี้จะไปนอนที่ไหน? ทันใดนั้นก็มีแม่นางอึ้งย้งเห็นไอ้อ้วนยืนทำหน้าโง่ๆ นางจึงรีบปรี่เข้ามาดุจสายลมพริ้วไหว นางคือพวกที่คอยต้อนแขกให้ไปใช้บริการโรงแรม สอบถามได้ความว่ามีรถรับส่งสนามบินกับโรงแรม และราคาไม่แพงประมาณ 900 บาท เลยตัดสินใจไปกับนาง นางพาไปส่งที่รถตู้ รถตู้ที่สภาพเหมือนรถตู้ขายกับข้าวบ้านเรา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าชะตาชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แต่เดี๋ยวก่อนฮะ พอถึงโรงแรมแล้วเกินคาดฮะ สภาพดีเกินคาด สะอาด กว้างขวาง แลดูปลอดภัย เช็คอินเสร็จเกือบห้าทุ่ม ยังไม่เลยวันคริสมาสต์สินะ บอก Merry Chistmas และ Happy Birthday พระเยซูในใจ หันไปเห็นน้องหมวยที่ต้องเข้ากะในค่ำคืนคริสมาสต์ที่ทุกคนต่างไปเฉลิมฉลองกัน เราเดินไปที่เคาน์เตอร์บอกกับนางเบาๆ ว่า "Merry Christmas" เรายิ้มให้กันแบบจริงใจที่สุดเท่าที่เราจะมีให้กันและกันได้ เป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นที่สุดในสภาวะเคว้งคว้าง และอุณหภูมิหนาวเย็นที่ 2 องศาเซลเซียสเช่นนี้


God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : ตกเครื่องที่เซี่ยงไฮ้

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : ตกเครื่องที่เซี่ยงไฮ้

อายจัง ถ้าจะบอกว่าตกเครื่องที่เซี่ยงไฮ้ 1 คืน ใครจะไปรู้น๊อว่า Transit เครื่องต้องเช็คอินใหม่ เพราะออกเป็นตั๋วสองใบ นี่ก็เลยเดินตะแล๊ดไปที่ Gate เล็งที่เหมาะ นอนลงอย่างสบายอกสบายใจ ตื่นขึ้นมาปุ๊บ อ๊า ตรงเวลาเป๊ะ!
ประตูปิด?! ปิดอะไร ยังไง ปิดไม่ให้คนมาต่อแถว หระ หรือว่าประตูเครื่องปิดแล้ว เฮ้ยเป็นไปไม่ได้น่านี่ไงมาตรงเวลาเด๊ะ
ประตูปิด ประตูปิด ประตูปิด ประตูปิด ประตูปิด ประตูปิด ประตูปิด ประตูปิด
คำนี้วิ้งเต็มหัว รีบแทรกอาอี๋ อาโป๋ อาม่า ไปหาเจ้าหน้าที่ มันพูดคำเดียว Sorry, door closed โครสสตตต พ่องมึง! มึงเห็นใช่ไหมกูนอนอยู่ตรงนี้ โกรธเลือดขึ้นหน้า (เอ็งนั่นแหละเสือกโง่เอง) และแล้วก็ได้ทำสิ่งที่ไม่ควรทำลงไป คือ ลงไปนั่งกองกะพื้น ดิ้นพล่าน มึงเปิดประตูให้กูเดี๋ยวนี้นะ มึงเปิด ฮือ มึงเปิดปราาาาาาาาาาาตู๊!!
เจ้าหน้าที่ 4-5 คนมายืนล้อม มันทำหน้าสมเพชบอกว่าให้ลุกขึ้น นั่งตรงนี้ไม่มีประโยชน์ เราทำได้แค่เปลี่ยนตั๋วให้เป็นพรุ่งนี้

ข้าพเจ้า : ละ แล้ว แล้ว คืนนี้ข้าจะไปนอนที่ไหน?
ไอ้หมีควาย : ไม่รู้ไม่ใช่ธุระอะไรของข้า เอ็งก็จัดการเอาเอง
ข้าพเจ้า : ไอ้แสรดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ตังค์ติดตัวก็ไม่ค่อยมี โทรกลับบ้านหาแม่กับพ่อ จะร้องไห้ โดนด่าเป็นชุด แต่ตอนนั้นช็อควิญญาณได้ออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แกล้งได้ยินไม่ถนัดแม่ว่าอะไร
สรุปต้องแบกกระเป๋าควายๆ 2 ใบ เป้อีก 3 ระเห็ดไปหารร.นอน ขอบคุณพระเจ้าที่ได้รร.ราคาไม่แพง อยู่ใกล้สนามบินผู่ตง เซี่ยงไฮ้ ตก 900 กว่าบาท มีรถรับส่งสนามบิน ก็เลยต้องจำใจนอน
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อกลางปี อธิษฐานกับพระเจ้าว่า "พระเจ้าปีนี้ขอให้ลูกได้คริสมาสต์ที่เซี่ยงไฮ้ด้วยเถิดดดดด นะพระเจ้านะ" ตัวเราลืมไปแล้วแต่พระเจ้าจำได้ ก็เลยจัดให้นอนเซี่ยงไฮ้ในคืนคริสมาสต์หนึ่งคืน เห็นไหมล่ะ พระเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ
จากการตกเครื่องและได้นอนค้างที่เซี่ยงไฮ้หนึ่งคืน ทำให้รู้ว่า
1.แอร์ไม่จำเป็นต้องสวย ใครที่คิดว่าตัวเองสวยหลบในมากๆ อายุเกินสามสิบปีขึ้นไป มาสมัครที่สายการบิน China Eastern ดู ความฝันของคุณยังมีหวัง
2.ที่เซี่ยงไฮ้สามารถตากผ้าข้างทางได้ แค่หาต้นไม้เหมาะๆ สองต้น ขึงเชือก ตากผ้าได้เลยตามอัธยาศรัย
3.ขับรถในเซี่ยงไฮ้ หากเจอเพื่อนหรือคนรู้จักกลางทาง สามารถจอดแวะรับได้เลย กลางสี่แยกก็ไม่มีปัญหา และหากคุณอยู่เลนส์ซ้ายสุดสามารถขับรถแทยง 30 องศาเพื่อไปเลนส์ขวาสุดได้ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
4.family mart ดังกว่าเซเว่นอีเลฟเว่น มีทุกๆ 20 เมตร ภายในสนามบิน
5.เป็บซี่ก็มีน้ำเปล่าด้วยนะ
6.ที่ไทยมีนวมไว้ต่อยมวย ที่เซี่ยงไฮ้มีนวมไว้ขับรถมอเตอร์ไซค์ (กันหนาว)
7.คนที่นี่สูบบุหรี่จัดสมคำร่ำลือ ใครที่สูบบุหรี่และไม่อยากรู้สึกแปลกแยกจากสังคม แนะนำให้มาอยู่ที่นี่ คุณจะดูสมู้ทขึ้นมาทันที คนที่นี่สูบบุหรี่ทุกที่ ในรถ ในสนามบิน ข้างทาง ล็อบบี้ในรร. ห้องพัก ร้านอาหาร เรียกว่าเห็นยืนสูบตั้งแต่สาวยันแก่ แอร์ก็ไม่เว้น
8.มีเพิงขายผลไม้ข้างทางแบบเดียวกับบ้านเรา
9.ไม่ได้เข้าไปใน city center เลยไม่รู้ว่าไฮโซที่นี่เขาอยู่กันอย่างไร แต่เท่าที่เห็นมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง แต่ก็อยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน
10.โดยทั่วไปผู้คนมีน้ำใจอัธยาศรัยไมตรีดี ถือว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากสำหรับข้าพเจ้า
I will be back "Shanghai"

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า-December 25, 2013

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า-December 25, 2013
December 25 , 2013 ·




จุดประสงค์ของการมาอเมริกาของข้าพเจ้าก็เพื่อมารับใช้พระเจ้าที่โบสถ์ในลอสแองเจลลิส ข้าพเจ้าเป็นคริสเตียนที่ออกจะแตกแถวสักหน่อย แต่ยืนยันว่ารักพระเจ้าสุดใจ พออาจารย์ที่คริสตจักรบอกว่ามีงานพันธกิจที่อเมริกา ใจข้าพเจ้าก็ปราถนาจะตามมาด้วยสุดใจ
นำเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อแม่ พ่อแม่สนับสนุนและบอกว่า ไม่ต้องกังวลอะไร "รับใช้พระเจ้าให้เต็มที่" และก็ออกเงินค่าเดินทางให้ ฐานะทางบ้านของข้าพเจ้าไม่ได้ร่ำรวยอะไร เงินค่าเดินทางที่พ่อแม่ให้มา ท่านต้องหาเงินจากหลายหนทางเพื่อส่งข้าพเจ้าไปภาระกิจครั้งนี้ให้ได้ ข้าพเจ้าซาบซึ้งในความรักความหวังดีของพ่อแม่สุดหัวใจ
การเตรียมตัวการเดินทางไปครั้ง ข้าพเจ้ามีเสื้อผ้าไม่มากนัก แต่สัมภาระใหญ่ยิ่งนักก็คือ "หนังสือ" ที่ข้าพเจ้าแทบจะขนไปเกือบหมดบ้าน ขาดไม่ได้จริงๆ ข้าพเจ้ายอมสละสิ่งของที่ต้องนำไปบางสิ่งบางอย่างเพียงเพื่อที่จะมีที่ว่างสำหรับหนังสือที่รัก ทั่นจะนึกภาพออกไหมว่าเยอะขนาดไหน ดูเอาละกันครับ

ข้ามากับพระเจ้า-December 24, 2013

ข้ามากับพระเจ้า December 24, 2013 The Readers online Cafe
December 24, 2013


วันนี้เป็นวันที่ต้องขึ้นเครื่องข้ามทวีป ข้ามน้ำข้ามทะเล ไปสู่ประเทศสุดแสนจะศิวิไลซ์ (ใครบอกวะ) สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ใครๆ ก็อยากจะไปขุดทองแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า แต่บอกไว้ตรงนี้เลยครับ "ใครว่าอยู่เมืองนอกสบาย" คำนี้คือเรื่องจริง
ก่อนอื่น ขอทุกท่านสละเวลาแก่เครื่องประทินผิวข้าพเจ้า 1 วินาที มาถึงด่านเพิ่งรู้ว่าพลาดแล้ว แม้จะผลิตภัณฑ์ตลาดแต่แพงมากสำหรับกู มีรึจะยอม วิชชี่นี่ถึงกับเทแป้งออกถ่ายเทของเหลว เซนกะเหลืออยู่หน่อยกูโปะแม่งเต็มหน้าตรงนั้นเลย เหลืออีกหน่อยประพรมทั่วร่างกาย ส่วนยาสีฟันช่างแม่งกูไม่แปรงก็ได้ อย่าเล่นตลกกะคนจนไม่งั้นมีมึ


วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

ข้ามากับพระเจ้า

ข้ามากับพระเจ้า
ครั้งหนึ่งเคยใช้ไปใช้ชีวิตกรรมกรที่อเมริกา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาแค่สี่เดือน แต่ก็ได้ประสบการณ์มากมาย วันนี้นึกอยากนำเรื่องเหล่านั้นมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง ตั้งแต่วีรกรรมการได้มาของวีซ่าสุดอัศจรรย์ ตกเครื่องเพราะความซื่อบื้อ และไอ้อ้วนที่โคตรโง่ภาษาอังกฤษกับการใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในลอสแองเจลลิส เรื่องราวการเอาตัวรอด ชีวิตที่ดิ้นรน ทั้งขำและมีน่ำตา หวังว่าทุกท่านจะติดตามอ่านกันนะครับ จะเพื่อบันเทิง ซ้ำเติม ฆ่าเวลา ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงครับทั่น