วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : fall in love with airhostess พบรักบนสายการบิน กับน้องแอร์โฮสเตสผู้เลอโฉม

God came to me-ข้ามากับพระเจ้า : fall in love with airhostess


พบรักบนสายการบิน กับน้องแอร์โฮสเตสผู้เลอโฉม

December 26, 2013

เช้านี้ที่เซี่ยงไฮ้หนาวมาก ตื่นเต้นเล็กๆ ที่พูดแล้วควันออกจากปาก (ตื่นเต้นทำไม เอ้าก็คนมันไม่ค่อยเจออากาศหนาวแบบนี้น๊อ) โถชักโครกนี่คือหย่อนก้นลงไม่ได้เลย เหมือนนั่งลงไปบนโถน้ำแข็ง ทรมานตูดมาก ต้องดึงทิชชู่มารองอย่างหนา เปิดน้ำให้ร้อนที่สุดเพื่อจะได้อาบน้ำและยังมีชีวิตรอดออกไป

10.00 น.ได้เวลาเช็คเอาท์ ตาลุงคนเดิมช่วยหิ้วสัมภาระที่คิดว่ามากกว่า 80 กิโล กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบละ 30 กิโล เป้ 2-3 ใบอีกเกือบยี่สิบกิโล เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้พระเจ้า เพราะน้ำหนักที่สายการบินกำหนดไว้คือ กระเป๋า 2 ใบ ใบละไม่เกิน 30 กิโล ข้าพเจ้ายัดเต็มแม็กซ์ และกระเป๋าเป้ขึ้นเครื่องได้อีกแค่ 1 ใบ ไม่เกิน 10 กิโล ถ้าเกินกว่านี้คุณต้องเสียเพิ่มอีก 5,000 บาท มีหรือที่ข้าพเจ้าจะยอม ถึงกับเปิดยูทูปเพื่อดูการจัดกระเป๋าขั้นเทพ ให้สัมภาระทุกสิ่งสามารถบรรจุอยู่ในกระเป๋าได้มากที่สุด แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เนื่องจากน้ำหนักยังคงเท่าเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือการยัดส่วนเกินลงไปในกระเป๋าเป้ได้มากขึ้น

ข้าพเจ้าขอบคุณคุณลุงที่ช่วยหอบหิ้วสัมภาระอย่างแข็งขัน โดยการยื่นบุหนี่ให้หนึ่งซอง แกทำหน้าดีใจมาก เพราะคนที่นี่สูบบุหรี่จัด การให้บุหรี่น่าจะเป็นของขวัญอันล้ำค่าสำหรับคนที่นี่ เรื่องมะเร็งนี่เราไม่หวงอยู่แล้ว แบ่งๆ กันเป็นละกันนะฮะ คราไปสนามบินครานี้มีผู้โดยสารจีนอีกสองนางนั่งไปในรถตู้ด้วย และก็ตามคาด นางนั่งดูดบุหรี่ปุ๋ยๆ ไม่เว้นแม้ตาลุงคนขับ ขนาดเป็นคนสูบบุหรี่ ยังรู้สึกเหม็นหายใจไม่ออก
เพราะที่เมืองไทยเราทำแบบนี้ไม่ได้ คนสูบบุหรี่ดูน่ารังเกียจในที่สาธารณะชน เรื่องนี้พี่ไทยมีดีกว่าเขานะฮะ

ระหว่างที่หายใจไม่ออกก็ตกใจสุดขีด ไอ้เชี้ย! ลุงแม่งอยู่เลนส์ซ้ายสุดแต่แม่งขับทแยงมุม 30 องศา เพื่อไปยังเลนส์ขวาสุด แล้วรถที่ตามมาเพียบครับ หัวใจจะวายแต่นางขับเหมือนเป็นเรื่องสามัญที่สุด แล้วก็ต้องงงกับคนใช้รถยนต์ที่นี่ เพราะขณะที่ติดไฟแดง อิรถตู้มาจากฝั่งขวา แม่งจอดคากลางสี่แยกเลยครับ เพียงเพราะว่ามันเจอคนรู้จัก มันลงจากรถเดินเนิบๆ ไปทักทายเพื่อนมันที่ขับมาจากอีกฝั่ง พูดคุยหัวเราะกันประมาณหนึ่งถึงสองนาที แล้วมันก็กลับขึ้นรถไปต่อ เรื่องนี้ถือเป็นปรากฏการณ์ Unseen in Shanghai ที่สร้างความประหลาดใจให้คนไทยตัวอ้วนๆ ตาดำๆ คนหนึ่งเป็นอย่างมาก


พอไปถึงสนามบินผูู่ตงคราวนี้ไม่พลาด รีบไปเช็คอินโดนเร็วพลัน ทั้งที่เวลาบินประมาณบ่ายนิดๆ แต่ก็มามีปัญหาว่าน้ำหนักกระเป๋าเกินอีก พนักงานเช็คอินที่เคานท์เตอร์จะไม่ยอมให้โหลดขึ้นเครื่อง ข้าพเจ้าเอาพระเจ้าเข้าสู้ อธิษฐานในใจพระเจ้าลูกไม่อยากเสียเงินเพิ่มนะ ช่วยให้ลูกผ่านด่านนี้ไปได้ด้วยเถิด แล้วข้าพเจ้าก็ทำหน้ามึนบอกว่า ก็ตอนออกมาจากไทยก็ไม่เห็นมีใครทักอะไรเลยนี่ เนี่ยใบโหลดก็ยังอยู่เนี่ย ยื่นให้นางดู พวกนางก็วุ่นวายเช็คกันใหญ่ว่าอินี่รอดมาได้อย่างไร ไม่รู้ล่ะข้าไม่สน ไม่มีทางที่ข้าพเจ้าจะเสียเงินเพิ่ม 5,000 บาทแน่นอน สุดท้ายก็ขอบคุณพระเจ้าที่พนักงานปล่อยเราเข้าเกท 

ขอเตือนเลยนะว่าใครที่คิดจะเดินทางไปไหน อย่าบ้าสมบัติ เอาเท่าที่จำเป็น ที่ข้าพเจ้าขนไปนั้นเหมือนราวกับว่าจะย้ายบ้านไปอยู่อเมริกาแบบถาวร คือปกติเป็นคนบ้าสมบัติอยู่แล้วอะไรที่ดูเป็นของไร้สาระในสายตาคนอื่น แต่มีค่าทางใจกับข้าพเจ้าข้าพเจ้าก็ขนไปหมด เช่นรูปพ่อแม่ ตุ๊กตาที่สาวเคยให้ ฯลฯ โดยเฉพาะหนังสือนั้นคาดว่าอ่านได้ถึงสองปีเต็ม ถือเป็นความผิดพลาดยันชั่วชีวิต คือ เหนื่อยห่านราก!! กับการหอบสัมภาระและสังขารไปมาภายในสนามบินหรือ ระหว่างสนามบินกับที่พัก 

และก็มาเจอปัญหาอีก คือก่อนเข้าเกทพี่ตำรวจจีนที่หน้าแม่งหน้ามึนกว่าข้าพเจ้าสิบเท่า นางไม่ยอมปล่อยให้ข้าพเจ้าแบกเป้ 2 ใบขึ้นเครื่อง พูดคำเดียวว่า One backpack ก็ต้องออกมานั่งจัดใหม่ เอากระเป๋ายัดเข้าไปในกระเป๋า เสื้อผ้ามัดตัวได้มัดหมด ผ้าขาวม้า เสื้อหนาว ถุงมือ หมวก คืออารมณ์กูหนาวมาก แล้วก็หัวหมอเอาถุงพลาสติกที่ยัดมาด้วย ใส่ของกระจุ๊กกระจิ๊กอีกเล็กน้อย 9.87 กิโล ผ่าน!!

นั่งนอนรอที่เกทคราวนี้ไม่พลาด จองแม่งหน้าประตูทางเข้าเลย เดินไปย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่า ถ้ากูหลับ เมิงช่วยปลุกกูด้วยนะ ต้องปลุกนะ เข้าใจไหม?! แล้วก็ทอดตัวลงนอนอย่างสบายใจ แต่มันไม่หลับเว้ยเฮ้ย การตกเครื่องบินจากเมื่อวานยังทำให้จิตหลอนอยู่ หลับตา ลืมตา หลับตา ลืมตา เรียกขึ้นเครื่องหรือยัง ทำอยู่อย่างนั้น จนได้เวลาขึ้นเครื่องจริงๆ สภาพตอนนั้นเหมือนเพิ่งกลับจากรบที่อัฟกานิสถาน นั่งเครื่องปุ๊บ กูหลับปั๊บข่าาา ดูเหมือนอากาศที่เปลี่ยนอย่างกระทันหันจะทำให้ข้าพเจ้าเกิดอาการป่วย

ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงหวานๆ ของแอร์โฮสเตสนางหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาแล้วก็อึ้ง นี่มัน จางมั่นอวี้ ชัดๆ ใจข้าพเจ้าเต้นตุบๆ หน้าแดง นางถามเบาๆ ว่ารับน้ำอะไรดี มองไปที่แอร์คนอื่นๆ รู้สึกขอบคุณพระเจ้า
มีกูคนเดียวที่เจอนางฟ้าเข้าให้แล้ว ขนาดข้าพเจ้าพูดอังกฤษไม่ได้เรื่องเลย ก็ยังพอรู้ว่าแอร์พวกนี้เขาใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก ไม่ทราบว่าข้าพเจ้าพูดอังกฤษไม่รู้เรื่อง หรือนางโต้ตอบไม่ได้ ทำให้มีความลำบากในการสื่อสารประมาณหนึ่ง ข้าพเจ้ามองไปรอบๆ เครื่องบินเห็นแอร์โฮสเตสอีกหลายคน ก็เกิดความสงสัยว่ามาตรฐานการรับแอร์โฮสเตสของสายการบินนี้อยู่ที่ไหน หน้าตา? น้องคนสวยที่โอบองแปงแถวออฟฟิศสวยกว่าสิบเท่า ภาษา? ไม่น่าใช่ ดูพวกนางตะกุกตะกักไม่คล่องแคล่ว ถึงได้บอกว่าใครที่อยากเป็นแอร์ฯ แต่คิดว่าตัวเองสวยหลบในมากๆ หน้าตาดูมีอายุสามสิบกว่าขึ้นไป ลองมาสมัครที่นี่่ คุณอาจยังมีหวัง

แต่ตอนนั้นไม่มีอะไรจะดึงความสนใจข้าพเจ้าไปได้มากกว่าน้องจางมั่นอวี้ของข้าพเจ้าอีกแล้ว ข้าพเจ้ามีอาการปวดหัวเล็กน้อย แต่ดูเหมือนว่าอาการป่วยนี้จะหนักมากเมื่อน้องจางหมั่นอวี้มาถามไถ่ นางเดินมาถามหลายรอบว่ายูโอเคไหม พี่น่ะโอเค แต่ใจพี่น่ะหายไปกับน้องแล้ว คนอะไรน่ารัก สวยเเป็นบ้า อ่อนโยนอีกต่างหาก คือถ้าเขายอมนะกูก็อยากชวนเขาให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันอยู่หรอก แต่คิดว่านางคงไม่เลือกเส้นทางชีวิตที่ตกต่ำ

แอบถ่ายรูปนาง ยิ้มให้ทุกครั้งที่นางเดินผ่าน แล้วก็เปิดดิกในโทรศัพท์ เขียนเป็นภาษาจีนใส่กระดาษ ใจความว่า "ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลฉัน ฉันซาบซึ้งใจมาก" นางเดินผ่านมาอีกทีข้าพเจ้าก็ยกกระดาษนั้นให้นางดู ด้วยความที่เขียนภาษาจีนไม่เป็น นางค่อยๆ อ่าน แล้วก็ยิ้มออกมากว้างๆ อุทานว่าโอว ยูเขียนภาษาจีนได้ด้วยหรือ ชมอีกต่างหากว่าเขียนสวยนะ ข้าพเจ้าปฏิเสธบอกว่าเปิดดิกชันนารีเอา คราวนี้นางยิ่งมาดูแลดีกว่าเดิมอีก นางเอายาแก้ปวดมาให้พร้อมกับน้ำอุ่นๆ เดินมามาถามไถ่อาการอยู่หลายรอบ เป็นความป่วยที่สุขใจเป็นบ้า

ข้าพเจ้าตะโกนออกไป หว่ออออ อ้ายยยยย หนี่่่  แล้วก็นอนหลับฝันต่อบนเครื่องจนถึงลอสแองเจลลิส (งานมโนฮะ)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น